ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง GRAND AUSTRIA + BAVARIA ตอนที่ 8 “Zugspitze – Munich” ขึ้นยอดเขาสูงที่สุดของเยอรมัน – ปิดท้ายทริปสุดสบายที่นครมิวนิค

เที่ยวเอง รีวิว ซุกสปิตเซ มิวนิค บาวาเรีย เยอรมัน tieweng review zugspitze munich bavaria germany
ออสเตรียอีกครั้ง เที่ยวแบบแกรนด์จากตะวันออกสู่ตะวันตกไปเลย

บ่ายวันที่ 7 ถึงบ่ายวันที่ 9 เราเดินเที่ยวในเมืองเก่า Innsbruck ไป Swarovski Crystal Worlds เดินเขาขึ้น Olpererhütte และขึ้น Top of Innsbruck ตามเนื้อหาในรีวิวนี้
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 7 “Innsbruck – Olpererhütte” เดินชมเมืองกลางห้อมล้อมเทือกเขาแอลป์ – เดินเขาเอาวิวหลักร้อยล้านสุดคุ้มค่าแรงเดิน

ย้อนเรื่องราวเที่ยวตั้งแต่วันแรกของทริปได้จากรีวิวที่รวบรวมให้นี้เลย
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 1 “Vienna” ครั้งที่ 4 ยังมีที่ใหม่ให้ถ่ายรูป
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 2 “Graz” เมืองมรดกโลกงดงามคลาสสิกแห่งออสเตรีย
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 3 “Hallstatt” เมืองจิ๋วริมทะเลสาบอันงดงามไม่เคยเปลี่ยน
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 4 “Gosau – St. Wolfgang” หมู่บ้านวิวสดชื่นกับเมืองพักผ่อนสุดชิลล์ริมทะเลสาบน้ำใส
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 5 “Berchtesgaden” เมืองเหมืองเกลือเก่าแก่ ศูนย์กลางเที่ยวภูเขาแอลป์และทะเลสาบงดงามของเยอรมัน
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 6 “Salzburg” ละมุน คลาสสิก แข็งแกร่ง มนต์เสน่ห์เมืองมรดกโลกที่ไม่เคยลดเลือน

สรุปการเดินทางทั้งทริปด้วยแผนที่นี้ครับ

บ่ายวันที่ 9 ของทริป

รถไฟจากสถานี Innsbruck Hbf เดินทางถึงสถานีรถไฟ Garmisch-Partenkirchen ทางใต้ของประเทศเยอรมัน
ตั๋วรถไฟ Innsbruck Hbf – Garmisch-Partenkirchen ราคา 16.80 ยูโร
เช็คตารางเวลารถไฟออสเตรียและซื้อตั๋วได้ที่ www.oebb.at

เดินไม่ถึง 200 เมตรไปเช็คอินที่ DJH moun10 Jugendherberge Garmisch ที่พักแบบเรียบง่าย เน้นอยู่ใกล้สถานีรถไฟจะได้ไม่ต้องลากกระเป๋าเดินไกลเข้าตัวเมืองและเดินทางไปไหนมาไหนสะดวกครับ

Garmisch-Partenkirchen คือเมืองเล็กๆ ทางใต้ของรัฐบาวาเรียเป็นต้นทางสำหรับการเดินทางไปยังยอดเขาสูงที่สุดของเยอรมัน Zugspitze”

เย็นนี้เดินเข้ากลางเมืองไปชมบ้านเมืองเค้าหน่อยและหาร้านอาหารรับประทานด้วย

ถนนสายหลักกลางเมืองชื่อว่า Am Kurpark ห่างจากสถานีรถไฟประมาณ 650 เมตร สองข้างทางมีบ้านไม่สูงที่เป็นร้านค้าและร้านอาหาร หลายหลังเพนท์ลวดลายคลาสสิกต่างๆ สวยงาม

ตรงตามถนน Am Kurpark เรื่อยๆ ก็เห็นโบสถ์ประจำเมืองชื่อว่า Pfarrkirche St. Martin อยู่ที่ Marienplatz

สุดเขตศูนย์กลางเมืองตรงนี้

คืนนี้ค้างที่เมือง Garmisch-Partenkirchen

วันที่ 10 ของทริป

โปรแกรมช่วงเช้าวันนี้คือนั่งรถไฟและต่อเคเบิ้ลคาร์ขึ้นสู่ยอดเขา Zugspitze

สถานีรถไฟสำหรับเดินทางไป Zugspitze อยู่ด้านหลังสถานีรถไฟ Garmisch-Partenkirchen ต้องเดินลอดอุโมงค์ใต้รางรถไฟแล้วเลี้ยวซ้ายไปที่พิกัด Bayerische Zugspitzbahn Bergbahn AG ใน Google Map

เข้าไปในอาคารซื้อตั๋วรถไฟและเคเบิ้ลคาร์แบบไป-กลับ ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 63 ยูโร, เยาวชนอายุ 16-18 ปี 50.50 ยูโร, เด็กอายุ 6-15 ปี 32 ยูโร
อัพเดทราคาตั๋วได้ที่ https://zugspitze.de เลือก Tickets for Zugspitze

08.15 น. รถไฟ Cogwheel ขบวน RB 64 ออกเดินทาง นั่งเพลินๆ ไป 30 นาทีก็ถึงสถานี Eibsee (BZB)
เช็คตารางเวลารถไฟได้ที่ Zugspitze train timetable

เดินลงไปที่สถานีเคเบิ้ลคาร์ Seilbahn Zugspitze

เช้านี้ท้องฟ้าดี แสงดี งั้นเดินไปทะเลสาบ Eibsee ที่อยู่ใกล้ๆ ก่อนละกัน (พิกัด Eibsee Steiniger Strand)

น้ำนิ่งและใสแจ๋วมากกก

เดินกลับไปที่สถานี Seilbahn Zugspitze ขึ้นเคเบิ้ลคาร์สาย Eibsee Seilbahn ไปยังยอดเขา Zugspitze อีก 10 นาที

เคเบิ้ลคาร์มีทุก 20-30 นาที ตั้งแต่ 08.30-16.45 น. ยกเว้นเดือนก.ค.-ส.ค. เปิด 08.00-17.45 น.

อีกวิธีหนึ่งคือนั่งรถไฟ Cogwheel ผ่านสถานี Eibsee (BZB) ต่อขึ้นไปยังสถานี Zugspitzplatt (Zugspitze glacier) ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 13 นาที แล้วต่อเคเบิ้ลคาร์สาย Gletscherbahn ขึ้นสู่ยอดเขา Zugspitze อีก 4 นาที ค่าตั๋วเท่ากัน

photo credit: mychaletfinder.com

Zugspitze (ซุกสปิทเซ) คือยอดเขาที่สูงที่สุดของประเทศเยอรมันและเป็นพรมแดนทางธรรมชาติระหว่างเยอรมันกับออสเตรีย โดยมีความสูงถึง 2,962 เมตรจากระดับน้ำทะเล ด้วยความสูงของยอดเขาทำให้มีหิมะปกคลุมเกือบตลอดทั้งปี ที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอันดับต้นๆ เยอรมันเลยทีเดียว

ตอนขึ้นมาถึงยอดเขาหมอกลงเยอะพอสมควร เลยลงเคเบิ้ลคาร์อีกสายคือ Gletscherbahn ไปที่สถานี Zugspitzplatt (Zugspitze glacier) แล้วเดินลงไปยังธารน้ำแข็ง Zugspitzgletscher ก่อน

ขนาดมาช่วงปลายหน้าร้อน อุณหภูมิยัง 3°C เลยครับ

ฟ้าเริ่มปลอดโปร่งขึ้นแล้ว รีบขึ้นเคเบิ้ลคาร์สาย Gletscherbahn กลับไปที่สถานี Zugspitze

ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสจะมองเห็นทะเลสาบ Eibsee อยู่ข้างล่างและยอดเขาต่างๆ ของเทือกเขาแอลป์อันสลับซับซ้อนไกลสุดลูกหูลูกตาได้ถึง 4 ประเทศ คือ เยอรมัน ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์ และลิคเทนสไตน์

เป้าหมายสูงสุดของการขึ้นยอดเขา Zugspitze ก็คือการไต่เขาขึ้นไปยัง Gipfelkreuz Zugspitze หรือไม้กางเกงยักษ์บนยอดเขานั่นเอง

วันนี้นักท่องเที่ยวเยอะต้องต่อคิวยาวค่อยๆ ปีนบันไดลิงและไต่แนวเขาแคบๆ ขึ้นไปยังยอดเขา หลายช่วงต้องรอให้คนที่สวนลงมาไปก่อน สลับคิวกันเป็นระยะๆ เส้นทางน่ากลัวพอสมควร ถ้าใจไม่ถึงอย่างเสี่ยงปีนขึ้นไปดีกว่าครับ

ใช้เวลาเกินครึ่งชั่วโมงกว่าจะขึ้นไปถ่ายรูปที่จุดสูงสุดของยอดเขาได้ พอไปถึงหมอกก็กลับมาปกคลุมอีกพอดี อุตส่าห์ปีนขึ้นมาตั้งนาน เซ็งเลย!

ไต่บันไดลิงกลับลงไปที่อาคารสถานี Zugspitze

กินอาหารกลางวันที่ร้าน Panorama Lounge 2962 ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นร้านอาหารที่อยู่บนตำแหน่งสูงที่สุดในดินแดนเยอรมัน

นั่งกินไปชมวิวแบบ 360 องศากันไป

จากนั้นลงเคเบิ้ลคาร์กลับไปที่สถานี Seilbahn Zugspitze และเดินไปขึ้นรถไฟ Cogwheel ที่สถานี Eibsee (BZB) เวลา 13.15 น. อีก 35 นาที กลับ Garmisch-Partenkirchen

นั่งรถไฟเข้า Munich

เราไปมิวนิคเป็นครั้งที่ 5 แล้วคงไม่ต้องเที่ยวเก็บแลนด์มาร์คทั้งหมดแล้ว 55
อ่านรีวิวครั้งล่าสุดได้ที่ เจาะลึก..เที่ยวเอง GERMANY ใต้ ตอนที่ 5 “Munich” ฟ้าใสในหน้าร้อนที่นครมิวนิค

มาครั้งนี้ขอเน้นพักผ่อนสบายๆ เดินเล่นกลางเมืองเพลินๆ และกินอาหารอร่อยๆ ก่อนบินกลับไทยละกัน

ที่พักของเราในมิวนิคคือ Hotel Bayerischer Hof โรงแรมระดับ 5 ดาวใจกลางเมืองอยู่ใกล้จัตุรัสสำคัญที่สุดของเมืองคือ Marienplatz และถนนช้อปปิ้งดังอย่าง Maximilianstraße

จากสถานีรถไฟกลาง München Hbf นั่งรถรางสาย 19 จากป้าย Hauptbahnhof หรือ 21 จากป้าย Hauptbahnhof Nord ไปลงที่ป้าย Marienplatz (Theatinerstraße) เดินอีกนิดก็ถึงโรงแรมแล้ว

โรงแรม Bayerischer Hof เป็นโรงแรมที่มีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ของมิวนิคสร้างโดยพระเจ้า Ludwig ที่ 1 ตั้งแต่ปีค.ศ. 1841 ซึ่งนับเป็นโรงแรมที่เก่าแก่ที่สุดในบาวาเรียและอันดับต้นๆ ของเยอรมัน

ภายในตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ เน้นประดับด้วยโคมไฟและแชนเดอเลียร์สุดแพรวพราว

เอกลักษณ์ของที่นี่คือแต่ละห้องออกแบบตกแต่งแตกต่างกันโดยอินทีเรียร์ดีไซเนอร์ชื่อดังระดับโลกหลายคน ตั้งแต่แนวโมเดิร์น โคโลเนียล หรูหรา เรียบหรู ของทุกอย่างในห้องใช้วัสดุอุปกรณ์พรีเมี่ยมเพื่อให้แขกได้รับความสะดวกสบายมากที่สุด

เราได้ห้องที่ออกแบบโดย Axel Vervoordt อินทีเรียร์ดีไซเนอร์คนดังชาวเบลเยี่ยม

สำหรับราคาห้องพักก็ไม่เบาตามคุณภาพและระดับของโรงแรม ห้อง Deluxe Double Room 40 ตารางเมตรนี้ราคาคืนละ 560 ยูโร

เย็นนี้ไม่ออกไปไหนแล้ว ขอใช้บริการต่างๆ ของโรงแรมให้คุ้มค่าห้องพักดีกว่า 55

ที่ชั้นดาดฟ้ามี wellness center ชื่อ Blue Spa ที่ให้บริการทั้งซาวน่า สปา ฟิตเนส และสระว่ายน้ำที่มองเห็นยอดโดมหัวหอมคู่ของโบสถ์ Frauenkirche และอาคารที่ทำการเมืองตรงจัตุรัส Marienplatz ได้แบบใกล้ๆ

ค่ำนี้รับประทานอาหารแบบเอาท์ดอร์ที่ Blue Spa Bar Lounge นี่แหละ

ในโรงแรมยังมีร้านอาหารขึ้นชื่ออื่นอีก อาทิ Atelier ร้านอาหาร fine dining ระดับมิชลินสตาร์ 2 ดาวของเชฟ Anton Gschwendtner ตอนแรกจะจองร้านนี้แหละแต่ร้านไม่เปิดเพราะตรงกับช่วงลาพักร้อนของเชฟพอดีเลย และ Trader Vic’s ร้านอาหารสไตล์โพลีนีเชียน

คืนนี้พักผ่อนสุดสบายที่ Munich

มาถึงวันสุดท้ายแล้ว

เช้านี้ตื่นสายหน่อยไปรับประทานมื้อเช้าบน rooftop ที่ Roof Garden Terrace ที่มีไลน์อาหารให้เลือกเยอะมากๆ

วันนี้มีเวลาเดินเที่ยวกลางเมืองมิวนิคถึง 6 โมงเย็น

โรงแรมอยู่ในบริเวณศูนย์กลางเมืองอยู่แล้ว เดินไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึง Marienplatz จัตุรัสชื่อดังของเมืองแล้ว

มามิวนิคกี่ครั้งไม่เคยได้ชมตุ๊กตาเต้นระบำที่ Glockenspiel หรือหอนาฬิกาตรงกลางหอคอยของ Neues Rathaus (New Town Hall) หรือที่ทำการเมืองมิวนิคหลังใหม่ แต่คราวนี้มาตอน 11 โมงพอดีเลยได้ชมเป็นครั้งแรก 55 (รอบต่อไป 12.00 น.)

ครั้งนี้ลองขึ้นหอคอยสูง 80 เมตรของ Neues Rathaus ไปชมเมืองมิวนิคจากมุมมองอื่นที่ยังไม่เคยเห็นบ้าง
หอคอยเปิดทุกวัน 10.00-20.00 น. ค่าขึ้นหอคอย 6 ยูโร
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit Neues Rathaus

ยอดแหลมสูงฝั่งตรงข้ามหอคอยที่ทำการเมืองคือโบสถ์ Peterskirche ส่วนทางขวามือคือโบสถ์ Frauenkirche

เดิน 5 นาทีก็ถึง Max-Joseph-Platz จัตุรัสที่ตั้งของ Bayerische Staatsoper (Bayerisches Nationaltheater) โรงละครแห่งชาติ และ Residenz München (Munich Residence) พระราชวังที่ประทับและเป็นศูนย์กลางอำนาจของกษัตริย์บาวาเรียนานถึง 500 ปี

เลยไปอีกนิดคือ Odeonsplatz จัตุรัสสำคัญอีกแห่งซึ่งเป็นที่ตั้งของ Theatinerkirche (Theatine Church) โบสถ์ที่ได้รับการกล่าวขานว่าสวยที่สุดแห่งหนึ่งของมิวนิค และ Feldherrnhalle (Field Marshals’ Hall) หรืออนุสรณ์แห่งกองทัพบาวาเรีย

เดินเล่นแค่แถวกลางเมืองพอ มาหลายครั้งแล้วเน้นหามุมถ่ายรูปใหม่ๆ ช้อปปิ้ง และกินอาหารดีๆ ที่ร้านดัง

เดินกลับไปที่โบสถ์ Frauenkirche เข้าชมภายในโบสถ์ได้ฟรี

ใกล้โบสถ์มีร้านอาหารที่คนมิวนิคแนะนำว่าเยี่ยมที่สุดชื่อว่า Andechser am Dom ซึ่งเปิดมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1455 นู่น

ดูเมนูกันก่อนครับ

สั่งเมนูคลาสสิกคือ Grilled Knuckle of Suckling Pig หรือขาหมูเยอรมันจานละ 17.50 ยูโร กับ Roasted Bavarian Duck ราคา 25.50 ยูโร มาลอง บอกเลยว่าโคตรดี ส่วนของหวานเป็น Andechser Kaiserschmarrn แพนเค้กสไตล์บาวาเรียเสิร์ฟพร้อมไอติมวานิลลาราคา 11.50 ยูโร กินได้ 2 คน

ไปสนามบิน Flughafen München

จากชั้นใต้ดิน (tief) ของสถานีรถไฟกลาง München Hbf นั่งรถไฟสาย S1, S8 ใช้เวลาเดินทาง 35 นาทีถึงสถานี München Flughafen Terminal
ตั๋ว Einzelfahrt ab 5 Zonen หรือ Single Trip Ticket แบบ 5 โซน ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 13 ยูโร
อัพเดทข้อมูลได้ที่ www.mvv-muenchen.de

เช็คอินสายการบิน Lufthansa เสร็จก็เดินออกจากอาคาร Terminal 2 ไปรับประทานอาหารเย็นที่ร้าน Mountain Hub ในโรงแรม Hilton Munich Airport สำหรับคนที่มีไฟลท์เช้ามากหรือมาถึงสนามบินมิวนิคดึก เลือกพักที่ฮิลตันสะดวกดีเลยครับ

ก่อนกลับบบ้านมีเวลาเลือกซื้อของในสนามบินที่มีช็อปแบรนด์เนมดังต่างๆ และร้านค้าดิวตี้ฟรี ข้อดีคือสินค้าราคาไม่ได้แตกต่างจากราคาที่ขายในเมือง ถ้าซื้อในเมืองไม่ทันสามารถมาหาซื้อที่สนามบินได้เลย

เราบินกลับเมืองไทยด้วยสายการบิน Lufthansa ซึ่งมีไฟลท์บินตรงเส้นทาง Bangkok – Munich แล้วตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา

ไฟลท์ LH772 ออกจากมิวนิค 22.45 น. มีเวลาเที่ยวในเมืองได้อีกเกือบเต็มวันเลย เวลาดี สะดวกมาก บินกลางคืนถึงไทยบ่ายสองนิดๆ วันรุ่งขึ้น

*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต