Brazil ประเทศอันดับหนึ่งในอเมริกาใต้ที่อยากไปเที่ยวเอง ตอนที่ 1 “Rio de Janeiro” มหานครแห่งความสุดโต่ง

เที่ยวเอง รีวิว ริโอ เด จาเนโร บราซิล rio de janeiro brazil air france

“บราซิล” คือหนึ่งในประเทศที่นักเที่ยวตัวจริงไม่ควรพลาดด้วยประการทั้งปวง

เมื่อเปิดแผนที่โลกดูแล้วเห็นว่าดินแดนทางซ้ายมือที่ถูกระบายสีแสดงว่าเคยไปเยือนมาแล้วมีแค่ 7 ประเทศเอง และเมื่อซูมลงไปที่ทวีปอเมริกาใต้ปรากฏว่ายังเหลืออีกหลายประเทศที่เรายังไม่เคยไป เพราะฉะนั้นเราจึงต้องจัดทริปตะลุยอเมริกาใต้เพิ่มอีก 3 ประเทศ ได้แก่ บราซิล อาร์เจนตินา และชิลี เพื่อเติมพื้นที่ในแผนที่โลกให้เต็มมากยิ่งขึ้น

ทริปนี้เป็นทริปใหญ่มากกก ต้องใช้ระยะเวลาเที่ยวหลายสัปดาห์และมีงบประมาณสูงมากเพราะระยะทางที่ไกลจากประเทศไทยสุดๆ ตั๋วเครื่องบินแพง และค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในแต่ละไม่ประเทศไม่ถือว่าถูก

ดังนั้น เราจึงต้องวางแผนให้รอบคอบที่สุด โดยเริ่มจากการหาสายการบินที่ใช้เวลาบินน้อยที่สุด อ้อมโลกน้อยที่สุด ราคาไม่แรงมาก แวะเปลี่ยนเครื่องแค่ 1 ครั้งในเส้นทาง Bangkok – Rio de Janeiro และ Santiago – Bangkok (หรือจะเปลี่ยนวนก็ได้) ซึ่งในช่วงที่เราเตรียมแผนมี 2 สายการบินที่ตรงตามสเป็กที่สุดคือ Air France และ KLM
(สายการบินที่มีไฟลท์ไปบราซิลส่วนใหญ่จะต้องไปลงที่สนามบิน São Paulo)

เราตัดสินใจเลือก Air France ซึ่งเวลาดีกว่าเพราะอยากลง Rio de Janeiro ก่อนแล้วไปกลับจาก Santiago ถ้าเลือก KLM ควรไปลงที่ Santiago ก่อน แล้วไปกลับจาก Rio de Janeiro

Search ตารางเวลาและซื้อตั๋วเครื่องบินได้ที่ www.airfrance.co.th

ข้อดีของ Air France คือบินข้ามคืนจาก Paris ไปถึง Rio de Janeiro ตอนเช้า หลับบนเครื่องให้เต็ม ไปถึงริโอแล้วเที่ยวต่อได้เลยอีกเต็มวัน แม้ขาจากกรุงเทพฯ จะต้องบินกลางวันไปต่อเครื่องที่สนามบินปารีสซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในเส้นทางไปอเมริกาใต้ไม่ว่าจะบินด้วยสายการบินอะไรก็ตาม

อ่านข้อน่ารู้สำหรับเตรียมพร้อมไปเที่ยวบราซิลให้สนุกและปลอดภัยประกอบนะครับ
Guide to Brazil – ไป “เที่ยวเอง” บราซิล มีอะไรควรรู้บ้าง

พอได้ไฟลท์เปิดและปิดทริปแล้ว คราวนี้ก็มาจัดแพลนไส้ในของทริปกัน เราหาข้อมูลเกี่ยวกับวิธีการเดินทางจากเมืองหนึ่งไปยังเมืองที่หมายทุกเมืองทั้งทางเครื่องบินและรถบัสอย่างละเอียด จนสรุปเป็นแผนที่ใช้เวลาอย่างคุ้มค่าที่สุด ได้เที่ยวมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ในระยะเวลา 3 สัปดาห์ (รวมวันเดินทางบนเครื่องบิน) ดังนี้

วันที่ 1: Bangkok – Paris – Rio de Janeiro
วันที่ 2: เที่ยว Rio de Janeiro เต็มวัน
วันที่ 3: เที่ยว Rio de Janeiro / ค่ำ บินไปเมือง Foz do Iguaçu
วันที่ 4: เที่ยวน้ำตก Iguazú ฝั่งบราซิล ค้างคืนที่ Foz do Iguaçu
วันที่ 5: นั่งรถบัสข้ามชายแดนไปเมือง Puerto Iguazú เที่ยวน้ำตก Iguazú ฝั่งอาร์เจนตินา
วันที่ 6: บินจาก Puerto Iguazú ไป Buenos Aires และเที่ยวเมืองหลวงของอาร์เจนตินา
วันที่ 7: เที่ยว Buenos Aires อีกครึ่งวันเช้า / บ่าย บินไปเมือง Ushuaia
วันที่ 8: ล่องเรือไปชมนกเพนกวินที่เกาะ Martillo และกลับไปค้างคืนที่ Ushuaia
วันที่ 9: เดินเล่นในเมือง Ushuaia / เย็น บินไปเมือง El Calafate ในเขตปาตาโกเนีย
วันที่ 10: ไปทัวร์ชมธารน้ำแข็ง Perito Moreno Glacier / เย็น นั่งรถบัสไปหมู่บ้าน El Chaltén
วันที่ 11: เดินเขาขึ้นไปชมยอดเขา Fitz Roy แห่งปาตาโกเนียฝั่งอาร์เจนตินา และกลับไปค้างคืนที่ El Chaltén
วันที่ 12: นั่งรถบัสกลับ El Calafate เดินเล่นในเมืองและค้างคืน
วันที่ 13: เช้า นั่งรถบัส 5 ชั่วโมงครึ่งไปเมือง Puerto Natales ของ Chile และนั่งรถบัสเข้าอุทยานแห่งชาติ Torres del Paine (ปาตาโกเนียฝั่งชิลี) ค้างคืนริมทะเลสาบ Pehoé
วันที่ 14: นั่งรถตู้ไปเดินเทรคกิ้งจาก Las Torres ขึ้นเขาไปยังจุดชมวิวยอดเขา Three Towers แห่ง Torres del Paine และนั่งรถตู้กลับไปต่อรถบัสกลับ Puerto Natales ตอนเย็น
วันที่ 15: นั่งรถบัสไปเมือง Punta Arenas เดินเที่ยวในเมืองและค้าง 1 คืน
วันที่ 16: บินไปกรุง Santiago เมืองหลวงของชิลี ค้างคืนที่ Santiago
วันที่ 17: ไปเมือง Valparaíso โดยรถบัสแบบ one day trip
วันที่ 18: เที่ยว Santiago / เย็น บินไป Paris เพื่อเปลี่ยนไฟลท์กลับกรุงเทพฯ
วันที่ 19: Paris – Bangkok
วันที่ 20: 09.15 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ

คนไทยไม่ต้องขอวีซ่าบราซิล สามารถอยู่ในบราซิลได้ไม่เกิน 90 วัน ครับ

เริ่มออกเดินทางกันเลย

สายการบิน Air France เที่ยวบิน AF165 ออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิเวลา 11.30 น.

แนะนำให้ทำ online check-in มาก่อนนะครับ จะได้ไม่ต้องต่อคิวนาน ไปที่เคาน์เตอร์ Baggage drop-off ได้เลย

ไฟลท์ไปปารีสนี้ เราต้องอยู่บนเครื่องบินทั้งวันประมาณ 13 ชั่วโมง ตอนแรกก็คิดว่าต้องเบื่อแน่ๆ แต่จริงๆ ก็มีอะไรให้ทำเรื่อยๆ นะครับ เช่น นอน (เรื่องนี้เป็นความสามารถเฉพาะตัว 555) กิน ดูหนัง สิ่งที่ชอบมากคือกินครับ หลังจากเสิร์ฟมื้อกลางวันแล้ว แอร์จะวางเครื่องดื่มต่างๆ น้ำแข็ง สแน็ก แซนด์วิช ไอติม ไว้หลายจุด หิวเมื่อไหร่ก็ลุกไปหยิบได้ตลอด อันไหนหมดก็เอาอย่างอื่นมาเติมแทนครับ

18.35 น. (เวลาฝรั่งเศส) เราเดินทางมาถึง Aéroport de Paris-Charles-de-Gaulle (CDG)

จุดนี้ง่วงนิดหน่อยเพราะตรงกับเวลาไทยประมาณเที่ยงคืนครึ่ง (ช่วง winter time) แต่ลูกค้าของ Air France และสายการบินเครือ SkyTeam ไม่ว่าจะบินโดยคลาสอะไรก็สามารถเข้าใช้ Instant Paris Lounge ซึ่งเดินออกจากเครื่องแค่นิดเดียวก็เห็นแล้วครับ

เข้าไปนั่งรอนอนรอต่อเครื่องได้สบายๆ ถ้าหิวก็มีร้านให้บริการ แต่ต้องซื้อนะครับ

ถ้าง่วงแบบไม่ไหวแล้ว หรืออยากอาบน้ำ หรือต้องรอต่อไฟลท์ตอนเช้าตรู่ สามารถใช้บริการโรงแรม YOTELAIR ซึ่งอยู่ด้านใน Instant Paris Lounge ได้ครับ
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.yotel.com

23.35 น. ไฟลท์ AF442 ของสายการบิน Air France พร้อมออกเดินทางจาก Terminal 2E (เหมือนไฟลท์ที่มาถึงสนามบิน CDG)

พอขึ้นเครื่องปุ๊บก็หลับทันที ไม่กินอะไรแล้ว เอนนอนยาวไปอีกประมาณ 11 ชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดเราก็บินข้ามโลกมาถึง Aeroporto Internacional do Rio de Janeiro–Antonio Carlos Jobim หรือ Galeão International Airport (GIG) ประเทศบราซิล ในเวลาท้องถิ่น 07.10 น.  

รวมเวลาเดินทางทั้งหมดจากเมืองไทย 29 ชั่วโมง 40 นาที

บราซิลมี 3 time zones ช้ากว่าเวลาไทยตั้งแต่ 10-12 ชั่วโมง โดยเวลาของ Rio de Janeiro ช้ากว่าไทย 10 ชั่วโมง และช้ากว่าปารีส 4 ชั่วโมง ใน winter time ของยุโรป (5 ชั่วโมงใน summer time)

รีบเดินไปต่อคิวผ่านตม. เพราะมีหลายไฟลท์ลงช่วงเช้านี้ คนเยอะมากแต่ระบบการจัดการก็คล่องตัวดีครับ

จากนั้น เดินไปรอรับกระเป๋าเดินทาง ก่อนถึง Belt มีร้านแลกเงิน 2 ร้าน แต่ไม่โชว์อัตราแลกเปลี่ยนทั้งคู่ เราจะรีบเอากระเป๋าและต่อคิวยาวเหยียดเพื่อผ่านช่องตรวจศุลกากร เลยยังไม่ได้แลกเงิน แถวค่อยๆ เคลื่อนที่ไปจนผ่านออกไปที่ Arrival Hall ได้ ใช้เวลารวมตั้งแต่ลงเครื่องประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งเลย

พอออกไปที่ Arrival Hall ก็มีร้านแลกเงิน 2 ร้าน (เจ้าเดียวกับข้างใน) ไม่มีป้ายบอกเรทเหมือนกัน เราเลือกเข้าไปถามเรทที่ร้าน Global Exchange พนักงานถามว่าจะแลกเท่าไหร่ เรทขึ้นอยู่กับจำนวนเงินที่ต้องการแลก

เราแพลนมาว่าจะแลกเงินกันคนละ 370 USD น่าจะได้เรท 1 USD ไม่ต่ำกว่า 3.50 BRL แต่ในสนามบินเรทน่าจะไม่ค่อยดี เลยตอบไปว่าแลก 500 USD (คนละ 250 USD) พนักงานบอกว่าจะได้เงินรวม 1,640 BRL คือได้เรท 1 USD = 3.3533 BRL แต่มีค่าคอมมิชชั่น 30 BRL และค่าอะไรไม่รู้อีก 6 BRL นิดๆ
สรุป 1 BRL จากเรทนี้เท่ากับ 9 บาทนิดๆ เลยครับ

ตอนนี้เรามีเงินคนละ 820 Brazilian real (BRL หรือ R$) จากงบที่คิดไว้ว่าจะใช้เงินประมาณ 1,300 BRL

ตั้งหลักได้แล้ว เตรียมตัวเดินทางเข้าเมือง

สนามบินนานาชาติ Galeão ตั้งอยู่ทางทิศเหนือห่างจากศูนย์กลางเมือง Rio de Janeiro ราว 17 กิโลเมตร และห่างจาก Copacabana ประมาณ 25 กิโลเมตร

เราเลือกใช้รถเมล์ Premium Bus (สีน้ำเงิน) สาย 2018 (Alvorada – RIOgaleão) ไป Copacabana ค่ารถตอน search คือ 16 BRL แต่เหมือนจะขึ้นราคาเป็น 19 BRL (ค่ารถในบราซิลขึ้นเล็กน้อยทุกปี) จ่ายโดย RioCard หรือเงินสดกับคนขับรถก็ได้ ถ้ารถติดอาจใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ Rio de Janeiro Airport bus service และ Premium buses
เช็คเส้นทางรถเมล์ได้ที่ Rio de Janeiro bus route เลือก Lines search
ซื้อ RioCard ได้ที่ RioCard

ป้ายรถเมล์อยู่นอกอาคาร เดินตามป้ายบอกทางไป BRT เลย แต่ไม่ต้องข้ามถนนไปเพราะฝั่งนู้นคือป้ายรถเมล์ BRT

รถเมล์ BRT (Bus Rapid Transport) มี 2 สาย คือ TransCarioca และ TransCarioca Express ซึ่งออกจากสถานีรถบัส Terminal Alvorada (ในเขต Barra da Tijuca) แวะจอดที่ Estação Fundão (ใกล้สนามบิน), สถานี Vicente de Carvalho (จุดเชื่อมต่อกับสถานีรถไฟใต้ดินสาย L2 เข้าสู่ Centro) และสถานีรถไฟใต้ดิน Madureira

ในสนามบิน Galeão มี 2 สถานี คือ RIOgaleão – Tom Jobim 1 ที่เทอร์มินอล 1 ขาเข้า ประตู H และ RIOgaleão – Tom Jobim 2 ที่เทอร์มินอล 2 ขาเข้า ประตู D

รถเมล์ BRT ไม่ผ่าน Copacabana และ Ipanema นะครับ

ข้อมูลจาก Rio de Janeiro BRT
เช็คเส้นทางรถเมล์ BRT สายต่างๆ ได้ที่ BRT routing
เช็คค่ารถเมล์และ BRT ได้ที่ Rio de Janeiro transportation fares

การใช้ BRT ต้องมี RioCard ที่เรียกว่า Bilhete Único Carioca (BUC) ค่ารถราคา 3.95 BRL ส่วนค่ารถ BRT + Metrô ราคา 6.50 BRL
อ่านข้อมูล RioCard ได้ที่ RioCard

ระหว่างทางเดินไปป้ายรถเมล์ก็จะมีบรรดาคนขับแท็กซี่มาถามว่าจะไปไหน บางคนพยายามชวนโดยเสนอราคาเหมาซึ่งลดลงเรื่อยๆ จาก 60 BRL เหลือ 50 และ 40 BRL เท่ากับแชร์กันคนละ 20 BRL ซึ่งแพงกว่าค่ารถเมล์นิดเดียวเอง เค้าแสดงตัวว่าเป็น Uber แต่เราไม่ไว้ใจเพราะรถเค้าจอดอยู่ที่อื่น อยู่บราซิลถ้าไม่ชัวร์ควรหลีกเลี่ยงไว้ก่อนครับ

ยืนรอรถเมล์ประมาณ 10 นาที ยังไม่มา พอดีมีแท็กซี่สีเหลือง (แท็กซี่ที่ปลอดภัย) มาส่งผู้โดยสารตรงหน้าเรา คนขับถามลุงที่ยืนรอรถเมล์อยู่ว่าจะไปไหน ลุงตอบว่า “Ipanema” และถามเราว่าจะไปไหน คำตอบของเราคือ “Copacabana” ซึ่งเป็นทางเดียวกัน คนขับจึงบอกว่าไปมั้ย? คนละ 20 BRL (เฮอัล) เรารีบตกลงทันที

ใน Rio de Janeiro ควรเลือกใช้ Radio taxi ซึ่งมีหลายบริษัท บริษัทที่ดีที่สุดคือ Aerocoop และ Aerotaxi ซึ่งจอดอยู่นอกอาคารสนามบิน (ชั้น Departure) ควรเลือกแท็กซี่สีเหลือง (taxameter / Taxímetro) แม้ราคาจะแพงกว่าสีน้ำเงิน แดง และขาว โดยปกติค่ารถเข้า Centro หรือ Copacabana ประมาณ 60-80 BRL ใช้เวลาราว 30 นาที ถ้ารถไม่ติด

ส่วนแท็กซี่ของบริษัทเหล่านี้ก็ถือว่าปลอดภัย Coopatur, Cootramo, Coopertramo, Transcoopass, Transcootour หรือจะใช้ Rio Airport Service ก็ติดต่อได้ที่ Rio Airport Service

ประมาณ 9 โมงครึ่ง แท็กซี่ก็มาส่งเราถึงหน้า Hotel Atlântico Praia (ป้ายรถเมล์ Premium Bus สาย 2018 อยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 70 เมตร)

โรงแรมอยู่ใกล้ชายหาด Copacabana ซึ่งเป็นย่านที่ควรพัก นอกจากนี้ Ipanema และ Lapa ก็เป็นโซนที่ค่อนข้างปลอดภัยเช่นกัน

เราจองห้องใหญ่ที่เห็นวิวทะเลไว้ ห้องพักสำหรับ 2 คน คืนนี้ราคา 438.90 BRL (117 USD) รวมอาหารเช้าครับ

วิวจากห้องพักครับ

ที่ชั้นดาดฟ้ามีสระว่ายน้ำเล็กๆ และบาร์ให้นั่งจิบเครื่องดื่มและชมวิวชายหาดยาวสุดลูกหูลูกตา

ฝากกระเป๋าไว้ที่โรงแรมก่อนครับ ยังเช็คอินไม่ได้

ฮิโอ เด จาเนโร หรือ ริโอ เด จาเนโร ที่คนไทยรู้จักกัน ได้รับการขนานนามว่า “เมืองแห่งพระเจ้า” เมืองนี้ถูกค้นพบครั้งแรกเมื่อวันที่ 1 ม.ค. 1502 โดย Gaspar de Lemos นักสำรวจชาวโปรตุเกสได้เดินเรือมาขึ้นฝั่งที่ Baía de Guanabara หรืออ่าว Guanabara จึงเรียกเมืองปากแม่น้ำนี้ว่า “Rio de Janeiro” ซึ่งแปลว่า “แม่น้ำแห่งเดือนมกราคม”

photo credit: www.riohere.com

อย่างที่รู้กันว่า Rio de Janeiro นั้นอันตรายไม่เบา โจรขโมยเยอะ เราจึงต้องวางแผนรับมือกับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้โดยใช้กระเป๋าแบบคาดอกไว้ข้างหน้า ใส่กล้องถ่ายรูป เลนส์ โทรศัพท์มือถือ และของมีค่าต่างๆ ไว้ตามช่องมากมายของกระเป๋า pacsafe ใบนี้ พอจะถ่ายรูปก็ค่อยหยิบออกมา ถ่ายเสร็จก็เก็บเข้ากระเป๋าทันที อย่าแขวนคอหรือใช้กระเป๋ากล้องให้สังเกตง่ายและล่อตาล่อใจเหล่าขโมย ส่วนเงินก็เอาไปเท่าที่พอใช้และกระจายแบ่งกันเก็บครับ

กระเป๋าแบรนด์ออสเตรเลียนี้ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยโดยเฉพาะ มีตัวล็อคซิปทั้งช่องเล็กด้านหน้าและช่องหลัก ช่วยป้องกันการล้วงกระเป๋าได้มาก รวมทั้งใช้วัสดุอย่างดีทำให้ถูกตัดหรือกรีดได้ยาก กันน้ำได้ระดับหนึ่งด้วย เหมาะมากๆ สำหรับใช้เที่ยวในเมืองที่ไม่ค่อยปลอดภัยครับ

หาซื้อได้ที่ร้าน URBAN AKTIVE ชั้น 2 อัมรินทร์ พลาซ่า, เซ็นทรัลพระราม 3, บางนา, ลาดพร้าว และเซ็นทรัลเวิลด์ นะครับ

ครึ่งวันเช้านี้เราวางโปรแกรมจะขึ้นยอดเขา Corcovado ไปชมความอลังการของรูปปั้นพระเยซูอันโด่งดังของ Rio de Janeiro เพราะตอนเช้าถ่ายรูปหน้ารูปปั้นได้ ไม่ย้อนแสง

วิธีการขึ้นยอดเขา Corcovado ไป Cristo Redentor (Christ the Redeemer) มี 2 วิธีหลักๆ คือ

1. จาก Copacabana นั่ง shuttle van ทางการของ Paineiras Corcovado จาก Praça do Lido ใกล้ชายหาดไปยังทางเข้า Cristo Redentor มีรถทุก 15 นาที ตั้งแต่ 08.00-16.00 น. ใช้เวลา 30-40 นาที ถ้ารถติดอาจใช้เวลาเป็นชั่วโมง

ค่ารถไป-กลับสำหรับผู้ใหญ่ราคา 77 BRL ในช่วง high season (holidays, carnival, weekends) และ 63 BRL ในช่วง low season (วันธรรมดา) + ค่า Campaign of Friends of the Christ the Redeemer อีก 4.60 BRL ราคานี้รวมค่าเข้า Cristo Redentor ด้วย

ขากลับต้องกลับไปยังจุดที่ขึ้นรถมา จะขึ้นจากที่หนึ่งและกลับไปลงอีกที่หนึ่งไม่ได้

อ่านวิธีการเดินทางอื่นได้ที่ https://nowinrio.com

หรือจากย่าน Leblon, Ipanema และ Copacabana นั่งรถเมล์สาย 570, 583, 584 ไป Cosme Velho ต่อ shuttle van ขึ้นไปยังทางเข้า Cristo Redentor ค่ารถตู้ไป-กลับประมาณ 25 BRL ไม่รวมค่าเข้า Cristo Redentor วิธีนี้ไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่ครับ

ข้อมูลการเดินทางอื่นๆ ที่ How to go to Corcovado

2. จากสถานีรถไฟใต้ดิน Largo do Machado ตรงทางเข้า A ของสถานีมีป้ายรถเมล์ จากป้ายนี้สามารถนั่งรถเมล์ Ônibus de integração (Integration Bus) สาย 580, 581, 583 ที่เขียนป้ายว่า Cosme Velho หรือ Corcovado ไปลงหน้าโบสถ์ Paróquia São Judas Tadeu แล้วขึ้น bondinho หรือรถไฟจากสถานี Trem do Corcovado ที่ Rua Cosme Velho 513 ในเขต Cosme Velho ไปยัง Corcovado (Monte Cristo)

รถไฟออกทุก 30 นาที ตั้งแต่ 08.00-19.00 น. ใช้เวลา 20 นาที ตั๋วไป-กลับราคา 79 BRL ในช่วง high season และ 65 BRL ช่วง low season ราคานี้รวมค่าเข้า Cristo Redentor ด้วย

ถ้าไปซื้อตั๋วที่สถานีคิวอาจจะยาว แนะนำให้ซื้อก่อนวันที่จะใช้รถไฟที่ Riotur kiosks ใน Copacabana ที่ถนน Avenida Atlantica หน้า Rua Hilario de Gouveia, ในศูนย์กลางเมือง (Centro) ที่ถนน Rua da Candelaria, 6 ตั้งแต่ 08.00-19.00 น. หรือซื้อออนไลน์ได้ที่ www.tremdocorcovado.rio

ถ้าจะขึ้นรถไฟใต้ดินต่อรถเมล์ไปนั่งรถไฟขึ้นเขาให้ซื้อตั๋ว Bilhete Único Carioca Ônibus + Metrô ราคา 5.80 BRL จากเคาน์เตอร์ขายตั๋วในสถานีรถไฟใต้ดิน

เช็คค่ารถเมล์ได้ที่ Rio de Janeiro transportation fares

หรือนั่ง shuttle van ของ Paineiras Corcovado ขึ้นไปยังทางเข้า Cristo Redentor เลย โดยเดินผ่านจัตุรัส Praça do Largo do Machado ไปยังโบสถ์ที่เห็นยอดแหลมอยู่ไม่ไกล ตรงข้ามกับโบสถ์เป็นท่ารถตู้ มีรถขึ้นไปยังทางเข้ารูปปั้นพระเยซูทุก 15 นาที ตั้งแต่ 08.00-17.00 น. ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ค่ารถไป-กลับสำหรับผู้ใหญ่ราคา 77 BRL ในช่วง high season (holidays, carnival, weekends) และ 63 BRL ในช่วง low season (วันธรรมดา) + ค่า Campaign of Friends of the Christ the Redeemer 4.60 BRL ราคานี้รวมค่าเข้า Cristo Redentor ด้วย (ขากลับต้องกลับมาที่ Largo do Machado เท่านั้น)

อัพเดทข้อมูลได้ที่ www.paineirascorcovado.com.br

เราเลือกวิธีแรกคือ นั่ง shuttle van ทางการของ Paineiras Corcovado จาก Praça do Lido ห่างจากโรงแรมแค่ 100 เมตร

ก่อนขึ้นรถต้องเข้าไปซื้อตั๋วที่จุดขายตั๋วในสวน Praça do Lido แต่พอไปถึงคนขายบอกว่าตอนนี้หมอกลงจัดบังรูปปั้นพระเยซูมิดเลยและชี้ให้ดูจอมอนิเตอร์ภาพสดๆ

เราจึงเปลี่ยนแผนไปเดินเล่นที่ชายหาด Copacabana (กอปป้ากาบาน่า) ก่อน

Praia de Copacabana (Copacabana Beach) ชายหาดชื่อดังที่สุดของ Rio de Janeiro อยู่ในเขต Zona Sul (South Zone) มีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร

แถวนี้ถือว่าปลอดภัยพอสมควร แต่ก็ไม่ควรพกของมีค่าออกไปเล่นน้ำและไม่ควรออกไปวิ่งจ็อกกิ้งตอนเช้ามืดที่ไม่ค่อยมีคนด้วย

จากนั้น เดินหาร้านอาหารแถวนี้ ค่าอาหารมื้อนึง (รวมน้ำ) ตามร้านอาหารระดับกลางๆ ทั่วไปประมาณ 40-50 BRL ถ้าเป็นพวกฟาสต์ฟู้ดหรือพิซซ่าจะถูกกว่าพอสมควร ถือว่าแพงพอๆ กับยุโรปตะวันตกเลยครับ

เดินกลับไปที่ Praça do Lido อีกครั้ง ดูจอแสดงภาพสดๆ แล้วท้องฟ้าดีขึ้นเยอะ เลยซื้อตั๋ว shuttle van + ค่าเข้า Cristo Redentor ใบละ 63 BRL (ราคาช่วง low season คือวันธรรมดา) ไม่มีค่า Campaign of Friends of the Christ the Redeemer 4.60 BRL แล้วเดินไปขึ้นรถตู้

นั่งไปประมาณครึ่งชั่วโมง ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในช็อปขายสินค้าที่ระลึก ออกอีกประตูแล้วเดินตามทางบังคับลงไปต่อรถตู้อีกคันขึ้นเขาไปยังยอดเขา Corcovado

ขึ้นลิฟท์และบันไดเลื่อนไปก็เห็นด้านหลังของรูปปั้นพระเยซู

ยอดเขา Corcovado สูง 710 เมตรในเขตอุทยานแห่งชาติ Tijuca แห่งนี้เป็นที่ตั้งของ Cristo Redentor (Christ the Redeemer) รูปปั้นพระเยซูขนาดใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีความสูง 30 เมตร ไม่รวมฐานอีก 8 เมตร รูปปั้นนี้ใช้เวลาสร้างนานถึง 9 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ. 1922-1931 คนบราซิลมักกล่าวอ้างว่าพระเจ้าเป็นชาวบราซิลซึ่งอาจเป็นเพราะรูปปั้นพระเยซูที่ยืนเพ่งมองลงมายังเมืองราวกับว่าพระองค์คุ้มครองดูแล ริโอ เด จาเนโร อยู่ตลอดเวลา

เมื่อวันที่ 7 ก.ค. 2007 สถานที่นี้ได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลกยุคใหม่

วิวด้านล่างคือบ้านเมืองในเขต Botafogo, Baía de Guanabara หรืออ่าว Guanabara, Pão de Açúcar หรือภูเขา Sugarloaf สูง 396 เมตรตระหง่านอยู่ที่ปลายแหลมปากอ่าวกวานาบารา และ Estádio do Maracanã สนามมารากาน่าสังเวียนรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลปี 2014

เราปรับแผนขึ้นมาที่นี่ตอนบ่ายต้นๆ ซึ่งปกติดวงอาทิตย์จะเคลื่อนจากด้านทะเลไปทางด้านหลังรูปปั้นพระเยซู เวลาถ่ายรูปด้านหน้ารูปปั้นจึงย้อนแสง แต่วันนี้โชคดีที่มีเมฆค่อนข้างเยอะมาช่วยบังแสงแดดจัด หน้าเลยไม่มืดครับ 55

บนยอดเขานี้มักจะมีหมอกหนา บางช่วงหนาทึบจนบังรูปปั้นมิดเลย วันนี้ก็เช่นกัน แต่ยังโชคดีที่ลมแรงทำให้หมอกเคลื่อนที่เร็ว มีช่วงเวลาให้ถ่ายรูปได้พอสมควร

ขากลับ นั่ง shuttle van ลงเขากลับไปต่อรถอีกคันที่เดิม ก่อน 4 โมงเย็นก็กลับถึง Praça do Lido เดินกลับโรงแรมแต่ตรงเลยไปอีกนิดแล้วเลี้ยวขวาที่โรงแรมหรู Belmond Copacabana Palace ตรงไปอีกราว 400 เมตร พอถึงถนนใหญ่ที่โล่งหน่อยก็เลี้ยวซ้ายผ่านโรงแรม Best Western Plus Copacabana Design ข้ามถนนเดินเข้าไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน (Metrô) สาย 1 (สีส้ม) ชื่อ Cardeal Arcoverde

ซื้อบัตรรถไฟใต้ดิน Cartão Unitário (Unit Card) หรือ Bilhete Único ราคาเที่ยวละ 4.30 BRL จากเคาน์เตอร์ขายตั๋ว (ตอนนี้ขึ้นราคาเป็น 4.60 BRL แล้ว)

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ Rio de Janeiro Metro
อัพเดทค่าตั๋วรถไฟใต้ดินได้ที่ Rio de Janeiro Metro fares

นั่งรถไฟใต้ดินสาย 1 (สีส้ม) เข้าสู่เขต Centro (downtown) ย่านธุรกิจและการเงินของเมืองซึ่งเป็นเขตที่ปลอดภัยพอสมควรในช่วงตอนกลางวันของวันทำงาน แต่ควรออกจากเขตนี้ก่อนพระอาทิตย์ตกประมาณ 1 ทุ่ม เพราะคนจะเลิกงานและกลับบ้านกันหมด และไม่ควรมาในวันเสาร์อาทิตย์ โดยเฉพาะวันอาทิตย์ที่ห้างสรรพสินค้าปิด

บริเวณที่ไม่ค่อยปลอดภัยคือแถวสถานีรถไฟกลาง Central do Brasil ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากสลัมที่ยากจนมาก และ SAARA ตลาดขายเสื้อผ้า กระเป๋า ที่คนท้องถิ่นชอบมาเดินกัน รวมทั้งเขต Santa Teresa

อ่านข้อมูลเรื่องความปลอดภัยใน Rio de Janeiro เพิ่มเติมได้ที่ www.theborderlessproject.com

ตอนแรกกะจะเข้า Centro ไม่เกินบ่ายสอง โดยนั่งรถไฟใต้ดิน 7 สถานีไปลงที่สถานี Carioca แล้วเดินไป Theatro Municipal do Rio de Janeiro (Municipal Theatre), Museu Nacional de Belas Artes (National Museum of Fine Arts) ซึ่งอยู่ไม่ไกล แล้วเดินตามถนนใหญ่หน้าสถานีรถไฟใต้ดิน Carioca ชื่อ Avenida Alm. Barroso ประมาณ 400 เมตรไปจนสุดถนนที่ Praça do Expedicionário เลี้ยวซ้ายเดินอีกราว 600 เมตรไปยัง Praça Quinze de Novembro (Praça XV de Novembro) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Paço Imperial (Imperial Palace) ซึ่งแต่เดิมคือ Royal Palace of Rio de Janeiro และ Palace of the Viceroys ที่สร้างในศตวรรษที่ 18 เพื่อใช้เป็นบ้านพักของข้าหลวงชาวโปรตุเกสผู้ปกครองดูแลบราซิล ในปีค.ศ. 1808 อาคารหลังนี้คือวังของกษัตริย์ João VI แห่งโปรตุเกสซึ่งในเวลาต่อมาได้ขึ้นเป็นกษัตริย์ของบราซิล และเป็นศูนย์กลางทางการเมืองของบราซิลเรื่อยมาร่วม 150 ปี ตั้งแต่ปีค.ศ. 1743 จนถึง 1889 ปัจจุบันเป็นศูนย์วัฒนธรรม

แต่มันผิดแผนเล็กน้อยเพราะขึ้นยอดเขา Corcovado ช่วงเช้าไม่ได้ ทำให้ต้องเข้ากลางเมืองเกือบเย็นแล้ว เลยเปลี่ยนแผนเป็นนั่งรถไฟใต้ดิน 6 สถานีไปลงที่สถานี Cinelândia ก่อน เพราะกลัวว่าถ้ามาแถวนี้ทีหลังจะมืดค่ำเกินไป

ขึ้นจากสถานี (ทางออก D) เดินไปทางหอนาฬิกาเลียบสวน Praça Passeio Público ตรงไปจนถึงสี่แยกใหญ่ที่ Lampadário da Lapa

มองไปทางขวาคือ Aqueduto da Carioca (Carioca Aqueduct) สะพานส่งน้ำโบราณสีขาวอยู่ไม่ไกล ถ้าเดินผ่านสะพานส่งน้ำตรงข้ามสะพานรถข้ามก็จะถึงโบสถ์ทรงพีระมิดแห่ง Rio de Janeiro แต่ก่อนจะถึงสะพานเป็นแหล่งรวมคนไร้บ้านที่ชอบมานั่งเป็นกลุ่มใหญ่ริมถนนและบนสะพานรถข้ามเป็นถนนใหญ่ ไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปผ่านมา ระยะทางตรงค่อนข้างไกลด้วย อาจไม่ปลอดภัยได้ถ้ามีคนดักรอบนสะพานหรือเดินตามมา

แถวนี้มีแก๊งเด็กวัยรุ่นท่าทางไม่น่าไว้ใจ เลยไม่กล้าเอากล้องมาถ่ายรูปครับ ขอใช้รูปถ่ายจากเฮลิคอปเตอร์แทนละกัน

ข้ามถนนใหญ่ไปยังโบสถ์ Desterro Igreja Nossa Senhora do Carmo da Lapa do Desterro เดินเข้าถนน Rua Teotônio Regadas (ถัดจากถนนด้านหน้าโบสถ์) ราว 150 เมตรก็ถึง Escadaria Selarón

ถนนแถวนี้ดูน่ากลัวแต่จริงๆ ปลอดภัยดีนะ คนที่นั่งตามพื้นถนนเป็นพวกฮิปปี้ ไม่ใช่คนไร้บ้านหรือโจรขโมยครับ

Escadaria Selarón (Selaron Steps) บันไดที่ประดับด้วยกระเบื้องโมเสกสวยๆ จากทั่วโลกเป็นผลงานสร้างสรรค์ของ Jorge Selarón ศิลปินชาวชิลีที่อ้างว่านี่คือของขวัญให้แก่ชาวบราซิล

ที่นี่กลายเป็นแลนด์มาร์คหนึ่งของริโอไปแล้ว นักท่องเที่ยวต้องเข้าคิวรอถ่ายรูปบนบันไดกระเบื้องหลากสีแห่งนี้

ขึ้นบันไดไปจนสุดข้างบนมีกำแพงกระเบื้องลายธงชาติบราซิลเป็นจุดถ่ายรูปเจ๋งๆ

5 โมงครึ่ง ท้องฟ้าเริ่มครึ้มแล้ว แต่ยังพอมีเวลาให้เข้าไปยัง Centro ของเมือง

เดินลงบันไดตรงกลับไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Cinelândia ซื้อบัตรรถไฟใต้ดิน Cartão Unitário (Unit Card) หรือ Bilhete Único เหมือนเดิม ราคา 4.30 BRL

นั่งรถไฟใต้ดินสาย 1 (สีส้ม) หรือ สาย 2 (สีเขียว) ก็ได้ 1 สถานีไปที่สถานี Carioca (ตอนแรกกะจะมาลงที่สถานีนี้ก่อน) ออกทางออก B (Av. República do Chile) ออกนอกรั้วสวน เดินไปทางซ้ายตามถนนใหญ่ Avenida Alm. Barroso นิดเดียวแล้วข้ามถนนตรงเข้าถนน Avenida Treze de Maio ก็เห็นอาคารสวยงามอยู่ข้างหน้า นั่นก็คือ Theatro Municipal do Rio de Janeiro (Municipal Theatre) โรงละครโอเปร่าที่สร้างในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ตามแบบอย่าง Opéra Garnier ที่กรุงปารีส

อาคารสไตล์อาณานิคมเยื้องกันคือ Câmara Municipal do Rio de Janeiro

ด้านข้างโรงละครเป็นที่ตั้งของ Museu Nacional de Belas Artes (National Museum of Fine Arts)

เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Avenida Rio Branco เดินผ่านด้านหน้าพิพิธภัณฑ์กลับไปยังถนน Avenida Alm. Barroso แล้วเลี้ยวซ้ายเดินกลับสถานีรถไฟใต้ดิน Carioca ไม่เลี้ยวขวาเดินไป Paço Imperial (Imperial Palace) ตามแผนตอนแรกแล้วเพราะกลัวจะมืดเสียก่อนและไม่ค่อยปลอดภัย

เดินผ่านทางเข้าสถานีรถไฟใต้ดิน Carioca ลอดใต้สะพานก็เห็น Catedral Metropolitana de São Sebastião (Metropolitan Cathedral of Saint Sebastian) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ Catedral Metropolitana do Rio de Janeiro (Metropolitan Cathedral of Rio de Janeiro) โบสถ์ทรงพีระมิดมายันขนาดใหญ่แห่งนี้ออกแบบโดย Edgar de Oliveira da Fonseca และก่อสร้างในช่วงปีค.ศ. 1964-1979 แทนที่โบสถ์เดิมที่สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1676

โบสถ์ใหม่นี้มีความสูง 75 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางภายใน 96 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลางภายนอก 106 เมตร ภายในมีพื้นที่กว้างถึง 8,000 ตารางเมตร จุคนได้ 5,000 ที่นั่ง

ตอนเย็นแถวนี้ค่อนข้างเปลี่ยว ถ่ายรูปแป๊บเดียวก็รีบเดินกลับสถานีรถไฟใต้ดิน Carioca เพราะหนุ่มสาวออฟฟิศเริ่มทยอยเลิกงานกันแล้ว ถ้ามาตอนกลางวันคงได้เข้าไปชมในโบสถ์ครับ

นั่งรถไฟใต้ดินสาย 1 (สีส้ม) 7 สถานีกลับสถานี Cardeal Arcoverde และเดินกลับโรงแรม

ตอนแรกกะว่าจะเที่ยวใน Centro เสร็จประมาณ 4 โมงเย็น อีกครึ่งชั่วโมงถึงโรงแรม ตอนเย็นจะไปนั่งกระเช้าลอยฟ้าขึ้นไปยัง Pão de Açúcar หรือยอดเขา Sugarloaf ชมพระอาทิตย์ตก แต่วันนี้ไปไม่ทันแล้ว ไม่เป็นไรๆ พรุ่งนี้เช้าขึ้นเฮลิคอปเตอร์เอาก็ได้ (แต่หลายคนไปมาก็บอกว่างั้นๆ นะ เลยไม่ค่อยเสียดายเท่าไหร่ 55)

บอกวิธีการไปซะหน่อย

นั่งรถเมล์ธรรมดาสาย 581 จากป้าย BRS 2 ที่ถนน Avenida Nossa Senhora de Copacabana ตั๋วรถเมล์ราคา 3.95 BRL (ใน google map เบอร์รถเมล์สีเหลืองคือรถธรรมดา เบอร์สีขาวคือรถแอร์) ลงที่ป้าย Avenida Pasteur แล้วเดินตรงไปทางวงเวียนราว 300 เมตรก็จะถึง Estação do Bondinho Pão de Açúcar (Bondinho do Pão de Açúcar) สถานีเคเบิ้ลคาร์ขึ้นเขา Sugarloaf

หรือจากสถานีรถไฟใต้ดิน Botafogo นั่งรถเมล์สาย 513 จากป้าย BRS 2,3 ที่ถนน Rua Voluntários da Pátria ไปลงที่ป้าย Avenida Pasteur เหมือนกัน

ขากลับ นั่งแท็กซี่ประมาณ 4.2 กิโลเมตร ค่าแท็กซี่ประมาณ 20 BRL หรือ รถเมล์สาย 582 จากป้ายตรงข้ามกับตอนมา ไปลงก่อนถึงสถานีรถไฟใต้ดิน Cardeal Arcoverde (4 ป้าย) แล้วเดินอีกราว 400 เมตรกลับโรงแรม แต่ตอนค่ำแล้วไม่ควรนั่งรถเมล์และเดินเท่าไหร่ครับ

สำหรับค่าตั๋วเคเบิ้ลคาร์ เช็คได้ที่ www.bondinho.com.br และซื้อออนไลน์ที่ https://ingressos.bondinho.com.br

หาร้านอาหารใกล้ๆ โรงแรมรับประทานมื้อเย็น แล้วเดินกลับโรงแรมไปแลกเงินเพิ่มอีกคนละ 130 USD ได้เรท 1 USD = 3.50 BRL มีเงินเพิ่มอีก 455 BRL หลักๆ คือเอาไว้จ่ายค่าเฮลิคอปเตอร์ซึ่งจ่ายด้วยเงินสดจะถูกกว่าบัตรเครดิตครับ

สรุป เราแลกเงินกันคนละ 380 USD ได้เงินบราซิลมา 1,275 BRL

คืนแรกของทริปอเมริกาใต้ครั้งที่ 2 นี้ ค้างที่ Rio de Janeiro

วันที่ 3 ของทริป (วันที่ 2 ในอเมริกาใต้)

โปรแกรมของวันนี้คือ ช่วงเช้าขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชมวิวทั่วเมืองริโอ ตอนบ่ายไปทัวร์สลัม Rocinha และก่อน 6 โมงเย็น ไปสนามบินเพื่อบินภายในประเทศไปเมือง Foz do Iguaçu

8 โมงครึ่ง รถแท็กซี่ที่ให้โรงแรมนัดมารับที่โรงแรม ค่ารถไปส่งและรอรับกลับประมาณ 1 ชั่วโมง ราคา 300 BRL (ราคา one way 180 BRL) แพงมากกกก (จริงๆ ราคาไป-กลับไม่น่าจะเกิน 180 BRL) ต่อราคาได้เหลือ 250 BRL (ประมาณ 2,200 บาท)

นั่งไปประมาณ 45 นาทีก็ถึงสนามบิน Aeroporto de Jacarepaguá–Roberto Marinho (Jacarepaguá Airport) ซึ่งอยู่ในเขต Barra da Tijuca ชานเมืองริโอ ห่างจาก Copacabana ประมาณ 25 กิโลเมตร

เราจองรอบเฮลิคอปเตอร์ของ Rio Adventures ไว้ตอน 10 โมงตรง เลือก Option B45 (บิน 45 นาที) ราคาเหมาลำจ่ายด้วยเงินสด 1,400 BRL + ค่าจองคนละ 99 BRL (จ่ายด้วยบัตรเครดิตตั้งแต่ตอนจองออนไลน์แล้ว) ฮ. นั่งได้ 3 คน (รุ่นนั่งได้ 4 คนก็มี) + คนขับ 1 คน ถ้ามา 3 คน ก็แชร์กันจ่ายคนละประมาณ 467 BRL แต่เรามาแค่ 2 คน เลยโดนกันคนละ 700 BRL + ค่าจองคนละ 99 BRL รวมแล้วประมาณ 7,000 บาทต่อคน

เฮลิคอปเตอร์ทัวร์มีหลายอ๊อปชั่น 30, 45, 60 นาที แต่แบบ 30 นาที เท่าที่อ่านรายละเอียดเหมือนจะไม่วนรอบรูปปั้นพระเยซู อาจจะถ่ายรูปวิวที่อยากได้ไม่ได้ เราจึงเลือกแบบ 45 นาทีซึ่งแพงกว่าพอสมควร

อ่านรายละเอียดทัวร์ได้ที่ Rio Adventures

อีกบริษัทที่ราคาโอเค คือ Rio Helicopter Tour
อ่านรายละเอียดทัวร์ได้ที่ www.riohelicoptertour.com

9 โมงครึ่ง ขึ้นฮ. เลยละกัน กัปตันพาบินชมวิวริโอจากมุมสูงไล่เรียงไปเรื่อยๆ จาก Praia da Barra da Tijuca หรือชายหาดบาร์ฮา ดา ติจูก้า

บินผ่านเขต Joá และ Favela หรือสลัมชื่อ Vidigal

บินต่อไปเหนือชายหาด Leblon และ Ipanema อ้อมแหลมไปชมชายหาด Copacabana ยาวกว่า 4 กิโลเมตร ซึ่งมองเห็นยอดเขา Sugarloaf อยู่ไม่ไกล

อ้อมอ่าว Guanabara เห็นภูเขา Sugarloaf อีกด้าน รวมถึงรูปปั้นพระเยซูอยู่ไกลลิบๆ บนยอดเขา Corcovado

ข้ามทะเลไปชมเขตเมือง Niterói ซึ่งบนเกาะ Ilha da Boa Viagem มีโบสถ์ที่เก่าแก่ที่สุดของริโอตั้งอยู่ ส่วนบนเนินเหนือชายฝั่งเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์รูปจานบิน Museu de Arte Contemporânea de Niterói (Niterói Contemporary Art Museum)

บินข้ามอ่าว Guanabara กลับไปยังฝั่งริโอ ผ่าน Aeroporto Santos Dumont สนามบินที่ได้ชื่อว่าอันตรายที่สุดแห่งหนึ่งเพราะรันเวย์ค่อนข้างสั้น เดี๋ยวเย็นนี้เราจะมาขึ้นเครื่องบินที่นี่

ใกล้สนามบินคือท่าเรือรบและเขต Centro ศูนย์กลางธุรกิจของเมือง ริมทะเลเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์รูปก้างปลา Museu do Amanhã (Museum of Tomorrow)

เลยเข้าไปกลางเมืองถ่ายรูป Catedral Metropolitana de São Sebastião หรือ Catedral Metropolitana do Rio de Janeiro โบสถ์ทรงพีระมิดที่ไปมาเมื่อวานตอนเย็น

บินไปชมอดีตสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในโลกชื่อว่า Maracanã แต่ปัจจุบันได้ลดความจุลงกว่า 20,000 คน เพื่อความปลอดภัยในช่วงการแข่งขันฟุตบอลโลกปี 2014 จนเหลือที่นั่งเพียง 78,838 ที่นั่ง

มุ่งหน้าไปยังรูปปั้นพระเยซู Cristo Redentor (Christ the Redeemer) บนยอดเขา Corcovado

กัปตันใจดีบินวนรอบรูปปั้นให้เราถ่ายรูปถึง 3 รอบเลย ได้ภาพสวยๆ มาเพียบครับ

บินกลับสนามบิน Jacarepaguá ระหว่างทางผ่าน Favela หรือสลัมที่ใหญ่ที่สุดในบราซิลที่ชื่อว่า Rocinha ซึ่งตอนบ่ายนี้เราจะไปเดินทัวร์กัน

10 โมงครึ่ง กลับถึงสนามบิน นั่งแท็กซี่คันเดิมกลับเข้าเมืองไปโรงแรม เราตัดสินใจถูกที่ยอมจ่ายค่าแท็กซี่ไปและกลับเลยเพราะในสนามบินไม่มีแท็กซี่เข้ามาอยู่แล้วถ้าไม่ได้มาส่งลูกค้าพอดี เดินออกไปเรียกรถหน้าสนามบินก็ไกลมากด้วย

11 โมงนิดหน่อย กลับถึง Hotel Atlântico Praia เช็คเอาท์และฝากกระเป๋าไว้ แล้วเดินหาร้านอาหารสำหรับมื้อเที่ยง เสร็จแล้วก็กลับไปนั่งรอคนมารับที่ล็อบบี้โรงแรม

เราซื้อ Favela (Shantytown) tour ไปสลัม Rocinha ทาง http://tours.riodejaneiro.com โดยทัวร์จะออกจากโรงแรม Belmond Copacabana Palace (ห่างจากโรงแรมเราประมาณ 200 เมตร) ตอนบ่ายโมงครึ่ง ค่าทัวร์คนละ 40 USD

รถตู้แวะรับลูกค้านานาชาติหลายคนก่อนไปถึงทางเข้า Rocinha ประมาณบ่ายสองครึ่ง

Rio de Janeiro มีสลัม (Favela) 708 แห่งกระจายอยู่ตามภูเขาและที่สูงทั่วเมือง Rocinha (ฮอซิญ่า) คือสลัมที่ใหญ่ที่สุด มีประชากรกว่า 200,000 คน โดยมีคนตั้งรกรากอยู่มานานประมาณ 80 ปีแล้ว

คำว่า Favela (ฟาเวล่า) คือชื่อต้นไม้ชนิดหนึ่งแถวรัฐ Bahia ทางตะวันออกของบราซิล ซึ่งมีลักษณะเติบโตแบบไม่เป็นระเบียบ ขึ้นซ้อนๆ กันไปเรื่อยๆ คล้ายกับสภาพบ้านเรือนของชุมชนแออัดที่สร้างซ้อนทับบ้านของคนอื่นเป็นชั้นๆ สูงขึ้นไปแบบไม่มีการวางแผนการก่อสร้าง

คนที่นี่ไม่ได้ยากจนขนาดต้องเก็บขยะกินเหมือนสลัมใกล้ๆ Centro แถวกลางเมืองจึงเป็นเขตที่อันตราย คนฮอซิญ่าประกอบอาชีพสุจริต เช่น ค้าขาย รับจ้างต่างๆ แต่ก็มีพวกแอบทำผิดกฎหมายไม่น้อย ที่รู้ๆ กันคือเรื่องยาเสพติด แม้คนที่นี่จะมีกฎกันเองว่าจะไม่ทำอันตรายนักท่องเที่ยวเพราะไม่อยากให้เกิดคดีจนตำรวจต้องเข้ามายุ่งในบริเวณสลัมซึ่งจะทำให้ทำสิ่งผิดกฎหมายได้ยากขึ้น แต่ก็ไม่ควรมาเที่ยวสลัมหลายแห่งด้วยตัวเอง

ในฮอซิญ่าเป็นเหมือนอีกเมืองหนึ่งที่มีทุกอย่าง ทั้งบ้านคน ร้านขายของทุกชนิด ร้านอาหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ลานกิจกรรม โบสถ์ ตามถนนสายหลักไม่ดูแออัดมากเท่าไหร่ แค่ดูรกเพราะสายไฟและสกปรก แต่พอเข้าไปลึกๆ ข้างในนั้นแอดอัดคับแคบมาก บางซอกกว้างแทบพอดีตัวคนเลย

คนที่อาศัยอยู่ใน favela ไม่ต้องเสียภาษี ค่าน้ำ ค่าไฟ คนจนจึงเต็มใจอยู่ในชุมชนแออัด แถมยังภูมิใจในความเป็นคนฮอซิญ่าด้วย

ไกด์พาเราเดินตามถนนหลักและเข้าไปตามซอกซอยลึกๆ จนถึงจุดชมวิวที่เห็นภาพกว้างของ Rocinha

Favela อื่นที่มีทัวร์พาไป เช่น Santa Marta ในเขต Botafogo และ Vidigal ที่เชิงเขา Dois Irmãos ซึ่งสามารถเข้าไปเดินเที่ยวเองได้ มีบ้านพักและโฮสเทลราคาถูกและค่อนข้างปลอดภัย จุดชมวิวอยู่ที่บาร์ของโฮสเทลชื่อ Bar 180° Alto Vidigal

อ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ favela ต่างๆ และบริษัททัวร์ได้ที่ www.theborderlessproject.com

เดินชมวิถีชีวิตที่แตกต่างแบบสุดขั้วกับชีวิตของคนในย่านท่องเที่ยวอย่าง Copacabana นาน 1 ชั่วโมงครึ่ง

4 โมงเย็น นั่งรถตู้กลับที่พักของแต่ละคน

เราขอลงไปเดินเล่นที่ Praia de Ipanema หรือชายหาดอีปาเนมาซึ่งสวยงามโดดเด่นด้วยฉากหลังที่เป็นภูเขาสูงและ favela บนภูเขา ที่นี่จะสวยมากตอนเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก

ก่อน 6 โมงเย็น เราต้องออกจากโรงแรมไปสนามบินภายในประเทศ เลยเรียกแท็กซี่จาก Ipanema กลับไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้ที่โรงแรมและนั่งต่อไปสนามบิน Santos Dumont ด้วยเลย

ค่าแท็กซี่จาก Ipanema ถึง Copacabana 15-20 BRL ถ้ารถไม่ติด และจาก Copacabana ไปสนามบิน ระยะทางราว 10 กม. รถไม่ค่อยติด ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ค่าแท็กซี่ 20-30 BRL แต่ถ้าพูดภาษาโปรตุเกสไม่ได้อาจโดนโก่งราคาถึง 50 BRL

ระหว่าง 2 ชายหาดดังนี้มีรถเมล์หลายสายให้บริการ ส่วนสถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ Praia de Ipanema ที่สุดคือ Nossa Senhora da Paz

เราเจอรถติดหนักช่วงเย็นทั้งใน Ipanema และ Copacabana กว่าจะถึง Aeroporto Santos Dumont โดนค่าแท็กซี่มิเตอร์ไป 63.50 BRL (ประมาณ 550 บาท)

Self check-in ที่เครื่องอัตโนมัติของสายการบิน GOL Linhas Aéreas Inteligentes (Gol Intelligent Airlines) โหลดกระเป๋าเดินทาง และกิน McDonald’s ในสนามบินเพราะไฟลท์ไม่มีเสิร์ฟอาหาร

ไป Foz do Iguaçu

19.55 น. สายการบิน GOL Linhas Aéreas Inteligentes เที่ยวบิน G3-2092 ออกเดินทางจากสนามบิน Santos Dumont (SDU) ถึง Aeroporto Internacional Afonso Pena (Afonso Pena International Airport: CWB) เมือง Curitiba ตอน 21.25 น. ใช้เวลา 1 ชั่วโมง 30 นาที

ต่อไฟลท์ G3-1784 ในเวลา 23.15 น. อีก 1 ชั่วโมง 15 นาที ก็ถึง Aeroporto Internacional de Foz do Iguaçu/Cataratas (IGU) หรือสนามบินเมือง Foz do Iguaçu ตอนเที่ยงคืนครึ่ง

ตั๋วเครื่องบิน Rio de Janeiro – Foz do Iguaçu แบบ PLUS price ราคา 544.17 BRL / LIGHT price ราคา 479.17 BRL + ค่าน้ำหนักกระเป๋า 23 กก. 60 BRL + ค่าจองที่นั่งไฟลท์ละ 15 BRL

เรายอมมาถึงดึกเพราะไฟลท์เร็วกว่านี้แพงกว่าเยอะเลยครับ 555 แอบงกเล็กน้อย  

เช็คตารางเวลาและราคาตั๋วเครื่องบินได้ที่ www.voegol.com.br

*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต

**สามารถใช้รีวิวนี้วางแผนและไปเที่ยวเองได้ แต่ถ้าจะเขียนเนื้อหาลงในสื่อทุกประเภท ขอให้เขียนขอบคุณข้อมูลจากเพจเที่ยวเองตั้งแต่แรกด้วยครับ