ถ้ามาอเมริกาใต้แล้วไม่ได้เที่ยว “อาร์เจนตินา” คงเหมือนมาไม่ถึง
สองวันก่อน เราเที่ยวอยู่ที่ “Ushuaia” เมืองใต้สุดของโลกนี้มีอะไรน่าสนใจบ้าง อ่านได้ในรีวิวอาร์เจนตินาตอนที่ 2 นี้เลย
Argentina กว่า 6,000 กิโล เที่ยวเองจากร้อนชื้นสู่หนาวเย็นเขตขั้วโลก ตอนที่ 2 “Ushuaia” เมืองใต้สุดของโลก ต้นทางสู่ขั้วโลกใต้
เมื่อวานเย็น เราบินภายในประเทศโดยสายการบิน Aerolíneas Argentinas จากสนามบิน Aeropuerto Internacional de Ushuaia Malvinas Argentinas (USH) ไปเมือง El Calafate ซึ่งเป็นต้นทางสู่ปาตาโกเนีย
เช็คตารางเวลาและราคาตั๋วเครื่องบินได้ที่ www.aerolineas.com.ar
ตั๋วเครื่องบิน Ushuaia – El Calafate ราคา 3,635 บาท (ราคา PLUS 99.80 ยูโร) เอากระเป๋าขึ้นเครื่องได้ 8 กก. โหลดกระเป๋าได้ 15 กก. ซื้อผ่าน Expedia เพราะตัดบัตรเครดิตทางเว็บทางการของสายการบินไม่ได้ครับ
น้ำหนักกระเป๋าใหญ่ของเราเกินไป 2 กิโลนิดๆ เค้าก็ไม่ได้ว่าอะไรนะครับ
18.20 น. สายการบิน Aerolíneas Argentinas เที่ยวบิน AR 1821 ออกเดินทางจากสนามบิน Ushuaia
19.40 น. เดินทางถึง Aeropuerto Internacional de El Calafate – Comandante Armando Tola (FTE)
ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง 20 นาที
รถบัสจาก Ushuaia ไป El Calafate มีของบริษัท Bus-Sur ใช้เวลา 12 ชั่วโมง ตั้งแต่ 8 โมงเช้า (มีรถวันเว้นวัน) ไปถึงเมือง Punta Arenas ของชิลี ต่อรถบัสอีก 3 ชั่วโมงนิดๆ ไปเมือง Puerto Natales (ต้นทางเข้าอุทยานแห่งชาติ Torres del Paine) และต่อรถบัสข้ามชายแดนกลับเข้าประเทศอาร์เจนตินาอีกครั้ง ใช้เวลาอีกประมาณ 6 ชั่วโมง
เราเริ่มต้นทริปที่ Rio de Janeiro แล้วไปเที่ยวน้ำตก Iguazú ทั้งฝั่งบราซิลและอาร์เจนตินา จากนั้นบินสู่เมืองหลวงคือกรุง Buenos Aires ตาม 3 รีวิวนี้ครับ
Brazil ประเทศอันดับหนึ่งในอเมริกาใต้ที่อยากไปเที่ยวเอง ตอนที่ 1 “Rio de Janeiro” มหานครแห่งความสุดโต่ง
Brazil ประเทศอันดับหนึ่งในอเมริกาใต้ที่อยากไปเที่ยวเอง ตอนที่ 2 “Iguacu Falls” น้ำตกอีกวาซูอันยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
Argentina กว่า 6,000 กิโล เที่ยวเองจากร้อนชื้นสู่หนาวเย็นเขตขั้วโลก ตอนที่ 1 “ฺBuenos Aires” ปารีสแห่งอเมริกาใต้
อ่านข้อมูลน่ารู้ก่อนไปเที่ยวอาร์เจนตินาได้ที่ Guide to Argentina – เที่ยวเอง “อาร์เจนตินา” ควรรู้อะไรบ้าง
เราเดินทางตามแผนที่นี้

สนามบิน El Calafate อยู่ห่างจากตัวเมืองไปทางตะวันออกประมาณ 19 กิโลเมตร
วิธีการเดินทางเข้าเมืองมี 2 วิธี คือ แท็กซี่ไปสถานีรถบัส Terminal de Omnibus El Calafate หรือที่พักในศูนย์กลางเมือง ค่าแท็กซี่ราคาเดียวคือ 900 ARS (ประมาณ 720 บาท) แพงมากกก! ใช้เวลา 20-30 นาที ถ้าให้ที่พักเรียกให้จะได้ราคาประมาณ 800 ARS และถ้าจะนั่งกลับไปสนามบินด้วยอาจต่อรองราคาอีกขาได้เหลือ 600 ARS
อีกวิธีที่ถูกกว่าคือใช้บริการรถตู้ VES Airport Shuttle ของ VES Patagonia ราคาปี 2019 คือ one way คนละ 300 ARS และไป-กลับ 450 ARS ควรจองและแจ้งสถานที่ที่ต้องการไปล่วงหน้าที่ www.vespatagonia.com.ar หรือ [email protected] ถ้าไปต่อคิวหน้างานอาจต้องรอรถหลายคันหรือไม่มีรถในวันนั้นแล้วถ้าไปถึงดึกเพราะแทบทุกคนที่ลงเครื่องมาก็จะแห่กันใช้วิธีนี้
บางคนอาจวางแผนโดยยังไม่เข้าเมือง El Calafate แต่เลือกเดินทางไปหมู่บ้าน El Chaltén (ใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง) เพื่อไปชมยอดเขา Fitz Roy เพราะสนามบินอยู่ระหว่างทางเข้าเมือง El Calafate กับหมู่บ้าน El Chaltén แล้วค่อยนั่งรถบัสจาก El Chaltén กลับเข้าตัวเมือง El Calafate ทีเดียว จากนั้นจะนั่งรถบัสหรือบินไปเมืองอะไรต่อก็แล้วแต่แผนที่วางไว้ครับ ถ้าจะเดินทางต่อโดยรถบัสจะได้ไม่เสียค่ารถย้อนไปย้อนมาอีก
จากสนามบิน El Calafate มีรถตู้ของ Las Lengas ไป El Chaltén ได้เลย ค่ารถคนละ 40 USD จองได้ที่ https://lengas.com (รถบัสจากตัวเมือง El Calafate ไม่แวะจอดรับคนที่สนามบินก่อนไป El Chaltén)

เรามาถึงสนามบิน El Calafate เกือบ 2 ทุ่มแล้ว คงต้องเลือกเข้าเมืองไปพักค้างคืนก่อน เราไม่ได้จอง VES Airport Shuttle เพราะกะจะมาวัดหน้างานหาคนที่มาคนเดียวเพื่อแชร์ค่าแท็กซี่กันคนละ 300 ARS เข้าเมือง (จ่ายค่ารถเท่ากับ VES แต่สะดวกรวดเร็วกว่าเยอะ) แล้วก็สำเร็จจริงๆ มีหนุ่มสเปนมาคนเดียวและยินดีแชร์ค่าแท็กซี่กับเราไปลงที่สถานีรถบัส Terminal de Omnibus El Calafate ซึ่งอยู่ก่อนเข้าเขตศูนย์กลางเมืองกิโลนิดๆ
เราจองที่พักไว้ที่ Hostería Los Gnomos ที่ถนน Calle Chichin Ariztizabal ห่างจากสถานีรถบัส 500 เมตร (จริงๆ จะพักที่ Glaciar Perito Moreno Hostel แบบห้องน้ำส่วนตัว เพราะอยู่ตรงข้ามสถานีรถบัสเลย แต่ไม่น่าจะไปถึงทันเวลาเช็คอิน)
ตอนนี้อยู่ระหว่างปรับปรุงพัฒนาถนนสายต่างๆ รอบนอกเมือง เส้นทางเดินจึงยังขรุขระ ถนนมืดแทบไม่มีไฟถนน เดินได้ค่อนข้างยาก ต้องดู google map นำทางประกอบด้วย

ห้องพักสำหรับ 2 คน ราคาคืนละ 2,128 ARS (51 USD) รวมอาหารเช้า แชร์กันจ่ายคนละ 850 บาท

มื้อค่ำนี้ต้องเอาอาหารที่เตรียมมามาทำกินเองเพราะขี้เกียจเดินเข้ากลางเมืองและที่สถานีรถบัสไม่มีร้านอาหารด้วย แต่ต่อไปน่าจะปรับปรุงให้ดีขึ้นเพราะเพิ่งย้ายมาอยู่นอกเมือง El Calafate ได้ไม่นานครับ
คืนแรกในปาตาโกเนียค้างที่ El Calafate
รีวิวตอนนี้ เราจะพาไปเที่ยว “ปาตาโกเนีย (Patagonia) ฝั่งอาร์เจนตินา” กัน
วันที่ 10 ของทริป (วันที่ 9 ในอเมริกาใต้)
ไปสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังระดับโลก “Glaciar Perito Moreno”
วิธีการไปมี 2 วิธี คือซื้อทัวร์ท้องถิ่นพาไป และ นั่งรถบัสเล็กของ Municipalidad de El Calafate จากถนนหลักในศูนย์กลางเมืองเข้าอุทยานแห่งชาติ Los Glaciares วิธีการหลังไม่รู้ตารางเวลารถบัสนะครับ รู้แค่ขากลับเข้าเมือง El Calafate คันสุดท้าย 17.30 น.

ตอนหาข้อมูลเจอว่า จากสถานีรถบัส Terminal de Omnibus El Calafate มีรถ microbus ของ 3 บริษัท ไปยัง Perito Moreno Glacier รถออกประมาณ 8 โมงเช้า และกลับประมาณ 4 โมงเย็น รถของ Cal Tur ออกเวลา 13.00 น. และกลับตอน 19.30 น. ในฤดูร้อน รถของ Marga Taqsa ออก 14.30 น. และกลับตอน 19.30 น. ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง สามารถบอกคนขับให้จอดลงที่ Puerto Bajo las Sombra ท่าเรือสำหรับล่องเรือชมธารน้ำแข็งได้ ค่ารถไป-กลับราคาประมาณ 800 ARS ต้องจ่ายค่าเข้าอุทยานแห่งชาติสำหรับชาวต่างชาติ 700 ARS (ราคาน่าจะขึ้นเล็กน้อยทุกปี)
แต่เราไม่ได้ใช้วิธีหลังเลยไม่แน่ใจว่าข้อมูลถูกต้อง 100% หรือไม่นะครับ ถ้าจะใช้รถสาธารณะให้ลองถามที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วของแต่ละบริษัทในสถานีรถบัสได้เลย
เพื่อความสะดวก เราจึงเลือกซื้อทัวร์ท้องถิ่นผ่านทาง www.veltra.com เว็บไซต์เอเยนต์ที่รวบรวมทัวร์ท้องถิ่น กิจกรรม และบริการต่างๆ มากมายทั่วโลก สามารถ search หาจากประเทศที่ต้องการใช้บริการได้เลยครับ
ค่าทัวร์ Perito Moreno Glacier Excursion from El Calafate with Nautical Safari Boat Ride ของ Rumbo Sur SRL ราคา 73.75 USD รวมค่าล่องเรือ แต่ไม่รวมค่าเข้าอุทยานแห่งชาติและค่าอาหารเครื่องดื่ม
อ่านรายละเอียดทัวร์และจองได้ที่ www.veltra.com/en/latin_america/argentina/el_calafate (รู้สึกว่าช่วงฤดูหนาวประมาณเดือนพ.ค.-ก.ย. จะไม่มีทัวร์)
9 โมง ทัวร์นัดเจอที่ที่พักและขับรถไปรับลูกค้าตามโรงแรมที่พักต่างๆ ในตัวเมืองจนครบ
นั่งรถเข้า Parque Nacional Los Glaciares (Los Glaciares National Park) ซึ่งห่างจากเมือง El Calafate ราว 80 กิโลเมตร จ่ายค่าเข้าอุทยานแห่งชาติสำหรับชาวต่างชาติคนละ 700 ARS

คนขับจอดรถให้ลงไปถ่ายรูปที่จุดชมวิวแรกแป๊บนึง

นั่งรถต่ออีกพอสมควรไปยังท่าเรือ Puerto Bajo las Sombra เพื่อล่องเรือ Safari Náutico ในทะเลสาบ Brazo Rico


เราเลือกทัวร์แบบที่รวมค่าล่องเรือไว้แล้วจึงไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีก 800 ARS
ถ้าอยากเดินบนธารน้ำแข็งก็สามารถซื้อทัวร์เพิ่มได้โดยมีให้เลือก 2 แบบ คือ Mini Trekking ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง ค่าทัวร์ 200 USD ขึ้นไป และ Big Ice Trek 4 ชั่วโมง ราคาประมาณ 370 USD

เรือมี 4 รอบต่อวัน คือ 10.00, 11.30, 13.00, 14.30 น. วันสุดสัปดาห์มีรอบ 16.00 น. ด้วย

ล่องเรือชมความยิ่งใหญ่ของกำแพงน้ำแข็งและก้อนน้ำแข็งยักษ์ที่เกิดจากการแตกหักและหดตัวของธารน้ำแข็ง

Glaciar Perito Moreno (Perito Moreno Glacier) คือธารน้ำแข็งขนาดใหญ่อันดับที่ 3 ของโลก อยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติ Los Glaciares โดยมีพื้นที่ราว 254 ตารางกิโลเมตร กว้าง 5-30 กิโลเมตร สูงประมาณ 175 เมตร ส่วนที่สูงพ้นน้ำ 40-70 เมตร ขนาดใหญ่เป็นรองแค่ที่ขั้วโลกใต้และอลาสก้าเท่านั้น

ธารน้ำแข็งนี้เกิดจากการสะสมกันของหิมะบนยอดเขาเป็นระยะเวลานานจนหนาแน่นและจับตัวกันกลายเป็นธารน้ำแข็งขนาดใหญ่ เวลาผ่านไปธารน้ำแข็งค่อยๆ เคลื่อนตัวจากเทือกเขาลาดชันลงสู่ทะเลสาบด้านล่างเหมือนในปัจจุบัน
ชื่อของธารน้ำแข็งตั้งตามชื่อของนักสำรวจชาวอาร์เจนไตน์นามว่า Perito Francisco Pascacio Moreno ส่วนบุคคลแรกที่ลงไปเดินบนธารน้ำแข็งคือ Juan Tomas Rogers กัปตันกองทัพชิลีชาวอังกฤษ เมื่อปีค.ศ. 1879
ภาพถ่ายจากเรือจะค่อนข้างใกล้ชิดธารน้ำแข็งกว่าจุดถ่ายรูปบนบกครับ






1 ชั่วโมงผ่านไปก็กลับไปที่ท่าเรือ Puerto Bajo las Sombra เหมือนเดิม
นั่งรถคันเดิมต่อไปที่ทางเข้าจุดชมวิว Glaciar Perito Moreno (รถบัสของ Municipalidad de El Calafate ก็มาส่งที่นี่)
ตรงนี้เป็นจุดนัดพบที่มีร้านค้าและร้านอาหาร ตอนนั้นหิวแล้วแต่ท้องฟ้าสดใส ขอเดินไปถ่ายรูปก่อนแล้วค่อยกลับมากินข้าว
ไกด์พาเดินไปถึงจุดชมวิวจุดแรกซึ่งอยู่ไม่ไกลมาก จากจุดนี้จะเลือกเดินไปทางซ้ายหรือขวาก็ได้ วนไปวนมาก็ได้ แต่แนะนำให้เดินไปทางซ้ายมากกว่าครับ


เดินถ่ายรูปธารน้ำแข็งมหึมาแห่งนี้ประมาณ 1 ชั่วโมง




เดินกลับไปที่จุดนัดพบ กินอาหารกลางวัน พวกแซนด์วิชหรือเบอร์เกอร์ราคา 180-300 ARS ครับ
บ่าย 3 ครึ่ง นั่งรถประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่งกลับเข้าเมือง El Calafate รถไปส่งถึงที่พัก 5 โมงตรง
นั่งพักแป๊บนึง เอากระเป๋าที่ฝากไว้ และเดินไปสถานีรถบัส Terminal de Omnibus El Calafate
ไป El Chaltén

6 โมงเย็น รถบัสของบริษัท Chaltén Travel ออกจากสถานี
ตั๋วรถบัส El Calafate – El Chaltén ราคา 800 ARS (21 USD) + service charge 44 ARS = 844 ARS (740 บาท)

ช่วงเช้าเวลา 07.30 น. มีรถบัสของ TAQSA ให้บริการ ส่วน 08.00 น. เป็นรถบัสของ Cal Tur และ Chaltén Travel ตอนเย็นมีรถบัสของ Cal Tur และ Chaltén Travel เวลา 18.00 น. (ในช่วงฤดูท่องเที่ยวตั้งแต่เดือนพ.ย.-วันอีสเตอร์ Cal Tur และ Chaltén Travel จะเพิ่มเวลา 13.30 น. รวมเป็นวันละ 3 เวลา) แต่ละช่วงฤดูตารางรถบัสจะปรับเปลี่ยนเล็กน้อยครับ
เส้นทางนี้เป็นเส้นทางหลักของนักท่องเที่ยวจากทั่วโลก ดังนั้นจึงควรซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้าถ้าต้องการเดินทางในวันนั้นๆ เท่านั้นครับ
เช็คเวลาและซื้อตั๋วรถบัสได้ที่ www.elchalten.com และ chaltentravel.plataforma10.com.ar หรือ www.chaltentravel.com
เช็คเวลารถบัสของบริษัทต่างๆ ในอาร์เจนตินาและซื้อตั๋วได้ที่ www.ticketonline.com.ar
รถบัสเคลื่อนที่อย่างจำกัดความเร็ว ระยะทาง 215 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 3 ชั่วโมง
สามทุ่มตรง เดินทางถึงสถานีรถบัส Terminal de bus El Chaltén
สถานีนี้ดีกว่าสถานีรถบัสของ El Calafate นอกจากมีห้องขายตั๋วของบริษัทรถบัสต่างๆ แล้วยังมีร้านอาหารเล็กๆ ห้องน้ำ ที่ฝากกระเป๋า และตู้ ATM ซึ่งเป็นแหล่งที่ทำให้เรามีเงินเพียงแห่งเดียวในหมู่บ้าน
เอารูปตอนสว่างมาให้ดูแทนนะครับ

ออกจากสถานีรถบัสก็เห็นป้ายทางเข้าหมู่บ้าน ถ้าฟ้าใสๆ (ซึ่งมีไม่บ่อย) ก็จะเห็นยอดเขา Fitz Roy อยู่ไกลลิบๆ (เอารูปที่ถ่ายวันรุ่งขึ้นมาให้ดูแทนครับ)

เดินตามถนนใหญ่ทางเข้าหมู่บ้าน เลี้ยวขวาที่สี่แยกที่ 2 (ระยะทางประมาณ 300 เมตร) เช็คอินที่ Cóndor de los Andes ที่พักกึ่งโฮสเทลมีครัวส่วนกลางให้ทำอาหารกินเองได้ (ขอใช้รูปตอนเช้านะครับ)

ห้องพักของเรามีห้องน้ำในตัว ราคา 2 คืน 104 USD รวมอาหารเช้า ถือว่าไม่แพง
สั่ง lunch box สำหรับมื้อกลางวันพรุ่งนี้ตอนไปเดินเขาด้วย สั่ง 1 กล่อง ราคา 230 ARS, 2 กล่อง 400 ARS
คืนที่ 2 ในปาตาโกเนียค้างที่ El Chaltén
วันที่ 11 ของทริป (วันที่ 10 ในอเมริกาใต้)
วันนี้เราจะเดินทางไกลกันเกือบทั้งวันเพื่อขึ้นเขาไปชมยอดเขา Fitz Roy ชื่อก้องโลก
เนื่องจากเส้นทางเดินเขาไปชมยอดเขาฟิตซ์รอยนั้นมีหลายเส้นทางให้เลือกและความที่เราเป็นมือใหม่หัดเทรคจึงตัดสินใจจ้างไกด์ของ Walk Patagonia มาช่วยนำทางไปยังจุดชมวิว Laguna de Los Tres (จริงๆ เดินเองได้) โดยส่งอีเมลไปถามราคาและนัดวัน เวลา สถานที่ ราคาที่เราได้คือคนละ 85 USD ไม่รวมอาหารกลางวัน ไม่มีค่าเข้าอุทยานแห่งชาติ ราคานี้คือถูกสุดแล้ว เจ้าอื่นเกิน 140 USD ขึ้นไป
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ Walk Patagonia


ถ้าซื้อทัวร์จาก El Calafate แบบไปเช้าเย็นกลับจะมีทัวร์ราคาถูกประมาณ 100 USD แต่ไม่มีทางขึ้นไปยัง Laguna de Los Tres ได้ทันแน่นอนครับ อาจจะไปได้แค่จุดชมวิวบางจุดที่ใกล้หมู่บ้าน El Chaltén หน่อย
เรานัดไกด์มารับที่ที่พักตอน 8 โมงเช้า ไกด์ถามว่าจะเลือกเดินเส้นทางแบบจัดเต็มเลยมั้ย? จะได้เห็นยอดเขาฟิตซ์รอยหลายมุมมอง เราตอบตกลงโดยยังไม่รู้ว่าระยะทางกี่กิโล 555
ช่วงเช้าในวันฟ้าใส ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้นเต็มที่ยอดเขาฟิตซ์รอยจะเป็นสีแดงๆ ทองๆ มองเห็นจากที่พักได้เลย ถ้าอยากไปถ่ายรูปฟีลนี้จาก Laguna de Los Tres ต้องตั้งแคมป์ในป่าแล้วเริ่มเดินขึ้นเขาตั้งแต่ตี 5 ซึ่งยังมืดและเส้นทางค่อนข้างอันตราย
นักท่องเที่ยวสายธรรมชาติส่วนมากจะมาค้างที่ El Chaltén หลายคืนเพื่อรอเดินเขาในวันที่อากาศแจ่มใสเพราะสภาพอากาศที่นี่แปรปรวนเร็ว ส่วนใหญ่จะมีเมฆมาก ท้องฟ้าหม่น และฝนตก ทำให้มองไม่เห็นยอดเขาเลยทั้งวัน เรียกว่าเป็นภูเขาขี้อายอีกแห่งของโลก
เอาภาพที่ถ่ายในวันหลังจากเดินเขาเสร็จแล้วมาให้ดูครับ

เรามากับดวงเสมอครับ 555 #แต้มบุญเยอะ วันที่เราเลือกเดินท้องฟ้าแจ่มใสทั้งวัน (ไกด์บอกว่าน้านนานมีที)
ช่วงเดือนที่เหมาะจะมาเที่ยวคือ ต.ค.-มี.ค. โดยช่วงเดือนพ.ย.-ก.พ. คือ high season อาจมีนักท่องเที่ยวเป็นพันคนต่อวันเพราะเป็นฤดูร้อนที่อากาศเย็นสบาย แต่แดดอาจจะแรง เดือนต.ค. และ มี.ค. อากาศจะเย็นกว่าเล็กน้อยและนักท่องเที่ยวน้อยลงหน่อย ปลายเดือนมี.ค. (ช่วงที่เราไป) เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้เปลี่ยนสี เดือนเม.ย. ยังเที่ยวได้แต่อากาศเริ่มหนาว เดือนพ.ค. เริ่มเข้า low season เดือนมิ.ย.-ส.ค. คือฤดูหนาวจัด หิมะตก อาจเดินขึ้นเขาไม่ได้ ส่วนเดือนก.ย. เริ่มพ้นหน้าหนาวแต่อากาศยังหนาวมากอยู่ ยังไม่ควรมาในเดือนนี้
คำแนะนำ นอกจากเสื้อกันลมกันหนาว อาหาร และน้ำดื่ม ที่ต้องเตรียมไปอยู่แล้ว ยังมีของใช้ที่ควรเตรียมเผื่อไปด้วย เช่น ครีมกันแดด แว่นตากันแดด ไม้เทรคกิ้ง ผ้ารัดซัพพอร์ทหัวเข่าและข้อเท้า ปลาสเตอร์ยา ทิชชูเปียก ถุงใส่ขยะ
เรื่องกล้องถ่ายรูป เราไม่ใช่ช่างภาพที่ชอบเที่ยว เพราะฉะนั้นจึงพกแค่กล้อง Mirrorless ธรรมดาไปตัวนึง เลนส์ซูม เลนส์ไวด์ ขาตั้งกล้อง ไม่แบกไปให้หนักหรอกครับ โทรศัพท์มือถือก็ใช้ถ่ายรูปได้ดีทีเดียว
ออกเดินทางกันเลย
คนขับรถไปส่งเราที่ Hostería El Pilar จุดเริ่มต้นเดินซึ่งอยู่ห่างจากตัวหมู่บ้าน El Chaltén ไปทางเหนือราว 15 กิโลเมตร


นี่คือการเดินเขา (คนไทยพูดติดปากว่า trekking) แบบจริงจังครั้งแรกของเราครับ
ก่อน 9 โมง เริ่มออกเดิน ช่วงแรกๆ เป็นพื้นที่ราบ ค่อยๆ เดินไต่ระดับขึ้นไปประมาณ 30 นาทีก็ถึงทางเข้าที่มีป้ายบอกทางเขียนว่า Senda El Pilar

พอผ่านจุดนี้ไปก็เริ่มเป็นทางชันมากขึ้น ช่วงนี้ยังไม่ต้องใช้ไม้เทรคกิ้งก็ได้ครับ เดินอีก 40 นาทีก็ถึงจุดพักแรกชื่อว่า Mirador Piedras Blancas
เก็บภาพระหว่างทางไปเรื่อยครับ



เดินต่อไปผ่านที่โล่งแจ้งเรียบๆ วันนี้แดดเปรี้ยงเลยครับ แถวนี้มีป้ายชี้บอกทางเดินกลับ El Chaltén
ไม้เทรคกิ้งที่เราใช้คือยี่ห้อ Vipole ของอิตาลีครับ คุณภาพดีมาก แข็งแรงแต่น้ำหนักเบา ความยาวตอนเก็บแล้วใส่กระเป๋าเดินทาง 24 นิ้วได้
หาซื้อได้ที่ร้าน URBAN AKTIVE ชั้น 2 อัมรินทร์ พลาซ่า, เซ็นทรัลพระราม 3, บางนา, ลาดพร้าว และเซ็นทรัลเวิลด์ นะครับ

เดินไปอีกทางหนึ่งผ่านที่ตั้งแคมป์ Poincenot และข้ามแม่น้ำ Río Blanco น้ำในแม่น้ำใสสะอาดมากสามารถรองดื่มได้เลยครับ เดินขึ้นเนินไปหน่อยก็ถึงจุดพักหลักที่มีห้องส้วม (แต่สกปรกมาก) ประมาณ 11 โมง
ตรงนี้มีป้ายบอกทางขึ้นไปจุดชมวิว Laguna de Los Tres อีก 1 ชั่วโมง



เส้นทางช่วงสุดท้ายจะเป็นทางหินก้อนใหญ่บ้างเล็กบ้าง ระยะทางจริงๆ ไม่ไกล แต่เป็นทางชันมากทำให้เดินได้ช้าและต้องใช้กำลังมาก ถ้าไม่มีไม้เทรคกิ้งจะเดินได้ลำบากกว่า จุดพักเหนื่อยให้ดื่มน้ำหายากเพราะหลายช่วงเป็นทางแคบๆ พอเดินสวนกันได้



เราเดินรวดเดียวไม่พักเลย (เพราะไกด์ไม่หยุด 555) พอถึงจุดนี้แปลว่าเกือบถึงแล้ว เย่!

เที่ยงตรง เราก็มายืนอยู่ที่จุดชมวิวมุมสูง ไกด์บอกว่าเค้าเดินจนทั่วแล้ว แนะนำให้เดินไปทางซ้าย ไม่ต้องเดินตามฝูงชนขึ้นไปยังจุดที่สูงกว่าทางขวามือ
ระยะทางตั้งแต่จุดที่เริ่มเดินประมาณ 11 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน 3 ชั่วโมงนิดๆ (เวลามาตรฐานคือ 4 ชั่วโมง)

ยังไม่หยุดถ่ายรูปแบบพิถีพิถันมากนัก แต่รีบเดินลงไปริมทะเลสาบ Laguna de Los Tres ก่อนที่ชาวบ้านจะแห่กันลงมา 555 จึงได้รูปแบบที่ไม่มีคนมาเกะกะอยู่ข้างๆ (หลังจากนี้อีกไม่นานพวกเค้าก็เดินมาถึงตรงนี้เพียบเลย)
Laguna de Los Tres คือจุดชมวิว Monte Fitz Roy (Cerro Fitz Roy) ที่ดีที่สุด อยู่ห่างจากตัวหมู่บ้าน El Chaltén ประมาณ 11 กิโลเมตร (ถ้าเดินมาอีกทางหนึ่ง) จุดนี้สูงจากระดับน้ำทะเลประมาณ 800 เมตร



Monte Fitz Roy หรือยอดเขาฟิตซ์รอยแห่งปาตาโกเนียฝั่งอาร์เจนตินาเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดใน Parque Nacional Los Glaciares (Los Glaciares National Park) โดยสูงจากระดับน้ำทะเลถึง 3,405 เมตร
ในปีค.ศ. 1877 Francisco Moreno นักสำรวจชาวอาร์เจนไตน์ได้ตั้งชื่อยอดเขาแห่ง Chaltén นี้ว่า Monte Fitz Roy เพื่อเป็นเกียรติแด่ Sir Robert FitzRoy ผู้บัญชาการเรือ HMS Beagle ที่มาสำรวจบริเวณเกาะ Tierra del Fuego ตั้งแต่ปลายปีค.ศ. 1831

หาที่นั่งพักเหนื่อยและกินข้าวที่ไม่บดบังการถ่ายรูปของคนอื่น
บ่ายโมง เดินลงเขากลับทางเดิม 1 ชั่วโมงก็ถึงจุดพักหลัก นั่งพักดื่มน้ำแป๊บนึง จากนั้นตีรวดยาวข้ามแม่น้ำ เดินผ่านจุดแคมป์ปิ้ง จนถึงที่โล่งแจ้ง เดินไปทางขวาตามป้ายบอกทางไป El Chaltén
ไกด์บางคนจะพากลับทางเดิมไปขึ้นรถที่ Hostería El Pilar แต่เราเลือกเส้นทางจัดเต็มตั้งแต่ก่อนออกจากที่พัก ไกด์จึงพาเดินอีกทาง เดินไปพักใหญ่มีทางแยก ถ้าไม่มีไกด์นำทางอาจจะหลงทางได้ เดินไปแวะถ่ายรูปยอดเขาฟิตซ์รอยมุมต่างๆ ไป และแวะ Laguna Capri หรือทะเลสาบกาปรีซึ่งอยู่ห่างจากหมู่บ้าน El Chaltén 4-5 กิโล ใช้เวลาเดินประมาณ 1 ชั่วโมงแบบเดินเร็ว พักล้างหน้าล้างตาอยู่ครึ่งชั่วโมง



เดินเร็วข้ามเขาช่วงสุดท้ายอีก 1 ชั่วโมงก่อนลงไปถึงหมู่บ้าน El Chaltén ตอน 4 โมงครึ่ง


ลงไปถึงจุดเริ่มเดินจากฝั่งหมู่บ้านซึ่งมีป้ายบอกระยะทางตามนี้

สรุปความโหดกัน
- ระยะทางไป-กลับที่เราเดินคือ 22 กิโลเมตร ซึ่งเป็นระยะเดินที่ไกลที่สุด
- เริ่มเดินตั้งแต่ก่อน 9 โมงเช้า กลับถึงหมู่บ้าน El Chaltén 4 โมงครึ่ง (มาตรฐานทั่วไปคือ 8-9 ชั่วโมง)
- เส้นทางนี้จัดระดับความยากอยู่ที่ปานกลาง มือใหม่เดินได้ไม่ยากเกินไป แต่ต้องฟิตร่างกายก่อนมาอย่างสม่ำเสมอและควรเตรียมของกินของใช้ที่จำเป็นมาให้พร้อม
อีกเส้นทางที่ง่ายกว่าพอสมควรแต่วิวไม่สวยเท่าที่ Laguna de Los Tres คือ Laguna Torre ที่ความสูงประมาณ 200 เมตร เป็นจุดชมวิวยอดเขา Cerro Torre สูง 3,102 เมตรจากระดับน้ำทะเล ระยะทางไป-กลับประมาณ 24 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 8 ชั่วโมง
จากจุดเริ่มเดินฝั่งหมู่บ้านต้องเดินตามถนนใหญ่สายหลักชื่อ San Martín ไปทางทิศใต้อีกราว 1 กิโลก็ถึงที่พัก ระหว่างทางมีร้านอาหารเยอะ แต่จุดนี้ขอกลับไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเพราะเหงื่อเปียกโชกและเอาเสื้อผ้าไปซักที่ร้านริมถนนใหญ่ก่อนถึงสถานีรถบัส ขนไปหลายกิโลได้ เค้าคิดค่าซักแค่ 250 ARS (ประมาณ 200 บาท) เอง
เสร็จแล้วเดินกลับเข้ากลางหมู่บ้านไปหาร้านอาหารมื้อเย็น ค่าอาหารที่ El Chaltén ค่อนข้างแพงคือ 300-400 ARS น้ำ 50-100 ARS ราคาเกือบเท่ายุโรปตะวันตกเลย ถ้าอยากกินถูกหน่อยให้เลือกพวกพิซซ่าหรือขนอาหารมาทำกินเองครับ
คืนที่ 3 ในปาตาโกเนียค้างที่ El Chaltén อีกคืน
วันที่ 12 ของทริป (วันที่ 11 ในอเมริกาใต้)
วันนี้ไม่มีโปรแกรมเที่ยวครับ ขอนอนพักเยอะๆ เก็บแรงไว้เที่ยวจัดหนักต่อ
เราซื้อตั๋วรถบัสกลับ El Calafate ของบริษัท Chaltén Travel ออนไลน์ล่วงหน้าไว้รอบบ่ายโมงตรง
ตั๋วรถบัส El Chaltén – El Calafate ราคา 800 ARS + service charge 44 ARS = 844 ARS เท่ากับขามา
วันที่เราเดินทางมีรถบัสของ Chaltén Travel เวลา 07.30 น. และ 18.00 น. ด้วย มีรอบ 08.00 น. ของ Cal Tur อีกบริษัท
เช็คเวลาและซื้อตั๋วรถบัสได้ที่ www.elchalten.com และ chaltentravel.plataforma10.com.ar หรือ www.chaltentravel.com
เที่ยง เดินไปหาอะไรกินแถวสถานีรถบัส Terminal de bus El Chaltén รอเวลารถออก
ขากลับ El Calafate ใช้เวลา 3 ชั่วโมงเท่ากัน (แวะจอดที่สนามบิน El Calafate ด้วย)
4 โมงเย็นก็กลับถึงสถานีรถบัส Terminal de Omnibus El Calafate อีกครั้ง
คราวนี้เราจองที่พักคือ Glaciar Perito Moreno Hostel ซึ่งอยู่ตรงข้ามสถานีรถบัสเลย เพราะพรุ่งนี้รถบัสจะออกตอน 7 โมงครึ่ง

เราจองห้องใหญ่นอนได้ 4 คน แต่นอนจริงแค่ 2 คน ราคาคืนละ 40 USD มีห้องน้ำในตัวและอาหารเช้าง่ายๆ แม้จะเป็นโฮสเทลแต่สภาพห้องไม่ได้แย่ อยู่ไม่กี่ชั่วโมงก็ไปละ 55 ไม่ซีเรียส


ตอนเย็น เดินผ่านสถานีรถบัสเข้าเมืองประมาณ 1 กิโลนิดๆ ถนนนอกเมืองกำลังก่อสร้างอยู่เลยงงๆ เล็กน้อย ต้องอาศัย google map ช่วยดูทางประกอบ
เดินหาร้านอาหารตามถนนหลักกลางเมืองซึ่งมีอยู่เส้นเดียวชื่อว่า Avenida del Libertador
ถนนการค้านี้มีร้านแลกเงิน (Cambio) เลยลองเข้าไปดูเรทแลกเงิน Peso chileno หรือเปโซของชิลี เพราะพรุ่งนี้จะย้ายประเทศเข้าชิลีแล้ว แต่เรทต่ำมากคือ 1 USD = 580 CLP (จริงๆ ควรได้ไม่ต่ำกว่า 650 CLP) ยังไม่แลกดีกว่า ไปลุ้นเอาว่าที่สถานีรถบัสเมือง Puerto Natales ของชิลีจะมีร้านแลกเงินมั้ย เพราะต้องต่อรถบัสอีกบริษัทเข้าอุทยานแห่งชาติ Torres del Paine เลย ต้องเสียค่าเข้าอุทยานด้วย แต่จ่ายเป็นเงิน USD หรือ Euro แทนเงินชิลีได้
ในเมือง El Calafate ไม่มีที่เที่ยวครับ อาคารที่ดูน่าสนใจที่สุดคือ Intendencia Parque Nacional Los Glaciares อยู่ที่ Avenida del Libertador นี่แหละ

ราคาอาหารในร้านระดับกลางๆ พอๆ กับที่ El Chaltén คือ 300-400 ARS แต่มีตัวเลือกพวกฟาสต์ฟู้ดที่ราคาถูกกว่าซึ่ง El Chaltén ไม่มี
ใช้เงินเปโซอาร์เจนตินาแทบเกลี้ยงเหลือไว้ทิปพนักงานขนกระเป๋าของรถบัสพรุ่งนี้เช้านิดนึง
เดินกลับไปที่สถานีรถบัส ติดต่อเคาน์เตอร์บริษัทรถบัส Cootra LTDA. ซึ่งซื้อตั๋วไป Puerto Natales ไว้ก่อนแล้ว ก่อนจะเข้าประเทศชิลีจะต้องลงทะเบียนแจ้งข้อมูลให้เรียบร้อยก่อน ไม่ใช่ซื้อตั๋วออนไลน์มาแล้วจะขึ้นรถบัสได้เลยนะครับ
เสร็จธุระแล้ว เดินกลับที่พัก
คืนที่ 4 ในปาตาโกเนียฝั่งอาร์เจนตินา ค้างที่ El Calafate อีกครั้ง
วันที่ 13 ของทริป (วันที่ 12 ในอเมริกาใต้)
ไป Puerto Natales, Chile
รถบัสของ Cootra LTDA. ออกจากสถานีรถบัส Terminal de Omnibus El Calafate ตอน 7 โมงครึ่ง
ตั๋วรถบัส El Calafate – Puerto Natales ราคา 950 ARS + Service charge 47.50 ARS = 997.50 ARS (875 บาท)
เช็คเวลาและซื้อตั๋วรถบัสได้ที่ www.cootra.com.ar

ถ้าไม่เลือกเจ้านี้ก็มีของ Bus-Sur ที่ออกเวลา 08.00 น. กับ 16.30 น. แต่เหมือนจะสลับวันกันให้มีแค่ 1 รอบต่อวัน วันที่เราจะเดินทางมีรอบ 16.30 น. ไปถึง Puerto Natales ประมาณ 4 ทุ่ม ซึ่งไม่ลงตัวกับแผนที่วางไว้
ตั๋วรถบัส El Calafate – Puerto Natales ราคา 20 USD วันจันทร์ไม่มีรถบัสและเหมือนตั้งแต่เดือนพ.ค.-ส.ค. จะไม่มีรถบัสให้บริการด้วย
เช็คเวลาและซื้อตั๋วรถบัสได้ที่ www.bussur.com
อีกบริษัทคือ www.turismozaahj.com
แนะนำให้เตรียมอาหารที่ไม่ส่งกลิ่นแรงและน้ำดื่มไปกินระหว่างทางด้วยเพราะรถบัสไม่จอดให้ลงไปกินข้าวกลางวันครับ
นี่คือแผนที่เส้นทางการเดินทางทั้งหมดในปาตาโกเนียฝั่งอาร์เจนตินาจนถึงเมือง Puerto Natales ของประเทศชิลี

เวลาถึงสถานีรถบัส Terminal Rodoviario Puerto Natales ที่บอกในเว็บคือ 13.00 น. ใช้เวลาเดินทาง 5 ชั่วโมง 30 นาที แต่จริงๆ ถึงเลตไปชั่วโมงนึงเพราะเสียเวลาผ่านตม. นาน
เวลาของชิลีเท่ากับเวลาอาร์เจนตินาในฤดูร้อน ถ้าใน winter time (ต้นเม.ย.-ต้นก.ย. โดยประมาณ) จะช้ากว่า 1 ชั่วโมง
ในสถานีรถบัส Terminal Rodoviario Puerto Natales มีร้านอาหารและร้านแลกเงินนะครับ
รายละเอียดการผ่านตม. และการเดินทางต่อจากเมือง Puerto Natales เข้าอุทยานแห่งชาติ Torres del Paine จะเขียนบอกอย่างละเอียดในรีวิวตอนแรกของ Chile นะครับ
*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต
**สามารถใช้รีวิวนี้วางแผนและไปเที่ยวเองได้ แต่ถ้าจะเขียนเนื้อหาลงในสื่อทุกประเภท ขอให้เขียนขอบคุณข้อมูลจากเพจเที่ยวเองตั้งแต่แรกด้วยครับ