Malta เที่ยวเอง “Mellieħa – Mdina – Valletta” 3 จุดหมายในฝันของเกาะสวรรค์มอลต้า

เที่ยวเอง รีวิว หมู่บ้านป๊อปอาย มดินา วัลเล็ตต้า มอลต้า popeye village mdina valletta malta
Malta คือประเทศที่ 6 ของ Greek to Roman Trip

ยุโรปเป็นทวีปที่เรามาเที่ยวเยอะที่สุดกว่า 10 ทริป ขาดอีกแค่ 5 ประเทศก็จะครบแล้ว แต่มีประเทศหนึ่งที่ไม่รู้จะจัดเข้าโปรแกรมในทริปไหนได้เลยเพราะที่ตั้งเป็นเกาะในทะเลเมดิเตอร์เรเนียนทางใต้สุดของยุโรป สามารถบินมาจากหลายเมืองหลักของยุโรปหรือข้ามเรือจากเมือง Pozzallo บนเกาะ Sicily ทางใต้สุดของอิตาลีซึ่งไกลจากเมืองหลักค่อนข้างมาก เพราะฉะนั้นถ้าอยากมา Malta จึงต้องตั้งใจมาเท่านั้น จะแค่แวะมาเที่ยวแล้วนั่งรถต่อไปเมืองอื่นเลยไม่ได้ครับ

photo credit: www.globaltrade.net

ตอนที่แล้วเราเดินเที่ยวในกรุงโรมและวาติกัน 1 วันครึ่ง อ่านรีวิวกึ่ง travel guide ได้ตามนี้
Italy ครั้งที่ 3 ตอนที่ 3 เที่ยวเองอิตาลี “Roma” กรุงโรมไม่ได้เที่ยวได้ในวันเดียว

ย้อนความไปเริ่มต้นตั้งแต่ประเทศแรกของทริป ไล่จาก Greece – Albania – Kosovo – Macedonia – Italy จากรีวิวด้านล่างนี้ครับ
กรีซให้สุด..เที่ยวเอง GREECE ตอนที่ 1 “Santorini” อยากอยู่แบบนี้นานๆ ได้ไหม
กรีซให้สุด..เที่ยวเอง GREECE ตอนที่ 2 “Athens” น่าทึ่งว่าคนโบราณเค้าสร้างเมืองกันได้ยังไง
กรีซให้สุด..เที่ยวเอง GREECE ตอนที่ 3 “Meteora” อารามลอยฟ้าอันวิเวกแห่งกรีซ
SHQIPËRI มีอะไรให้เที่ยวเอง “Berati – Tiranë – Durrës” สามเมือง สามอารมณ์ ของอัลเบเนีย
KOSOVO ไปทำไม! เที่ยวเอง “Prizren – Prishtina” 2 เมืองของดินแดนอิสระน้องใหม่ของโลก
MACEDONIA ดินแดนนอกฝัน..เที่ยวเอง “Skopje – Ohrid” เมืองฝรั่งปนแขก แตกต่างแต่ลงตัว
Italy ครั้งที่ 3 ตอนที่ 1 เที่ยวเองอิตาลีใต้ “Matera” เมืองในถ้ำเก่าแก่อายุนับหมื่นปี
Italy ครั้งที่ 3 ตอนที่ 2 เที่ยวเองอิตาลีใต้ “Amalfi – Positano” ชายฝั่งสุดสวยริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน

จาก Aeroporto Leonardo da Vinci di Fiumicino หรือสนามบินฟิอูมิชิโน กรุงโรม เราบินโดยสายการบิน Air Malta เที่ยวบิน KM0613 ไป Malta International Airport กรุง Valletta ตอน 10 โมงเช้า

ตั๋วเครื่องบิน Rome – Malta แบบ Go Smart รวมค่ากระเป๋าโหลดใต้เครื่อง 1 ใบ ราคา 85.66 ยูโร (3,400 บาท)

เช็คตารางเวลาและซื้อตั๋วเครื่องบินได้ที่ Air Malta

นั่งชิลล์ๆ แค่ 1 ชั่วโมง 25 นาที ก็ถึง Ajruport Internazzjonali ta’ Malta (Malta Luqa Airport) หรือสนามบินนานาชาติมอลต้า

Malta เป็นประเทศที่มีขนาดเล็กที่สุดอันดับที่ 5 ของยุโรป มีพื้นที่เพียง 316 ตารางกิโลเมตร มอลต้าประกอบด้วยเกาะใหญ่ 2 เกาะคือ Malta และ Gozo ซึ่งมีเรือเชื่อมถึงกัน

ตั้งแต่ปีค.ศ. 1814-1964 มอลต้าอยู่ภายใต้การปกครองของ British Empire และสหราชอาณาจักร ดังนั้นคนมอลต้าจึงใช้ภาษาอังกฤษและ Maltese เป็นภาษาราชการ

มอลต้าเป็นประเทศในกลุ่ม Schengen จึงใช้วีซ่าเชงเก้นเดินทางเข้าประเทศได้เหมือนประเทศอิตาลี

ซื้อ tallinja card แบบ 12 Single Day Journeys card ราคา 15 ยูโร จากเคาน์เตอร์ขายในสนามบิน บัตรประเภทนี้ใช้โดยสารรถเมล์ได้ 12 เที่ยว (ถ้าใช้ต่อรถเมล์ภายใน 2 ชั่วโมงจะไม่นับเป็นอีกเที่ยว) และสามารถใช้ร่วมกับผู้อื่นได้ด้วย (ปกติตั๋วรถเมล์ราคาเที่ยวละ 2 ยูโร ในช่วงฤดูร้อน ใช้ต่อรถเมล์ได้ภายในเวลา 2 ชั่วโมง)

เช็คราคาบัตรโดยสารประเภทต่างๆ ได้ที่ www.publictransport.com.mt

ขึ้นรถเมล์ Express สาย X4 จากป้าย Hal Luqa หน้าอาคารสนามบิน เวลา 12.13 น. (คันต่อไปทุก 30 นาที)

เช็คสายรถเมล์ที่ใช้เดินทางจากสนามบินไปยังเมืองต่างๆ และตารางเวลาได้ที่ www.publictransport.com.mt/airport-services

หาวิธีการเดินทางจากแต่ละที่ไปยังจุดต่างๆ ในประเทศมอลต้าได้ที่ www.publictransport.com.mt

ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึง Valletta Main Bus Terminus (ป้าย Valletta 18) ตรงวงเวียน Il-Funtana tat-Tritoni (Triton Fountain)

เดินเข้า Bieb il-Belt (City Gate) หรือประตูเมืองหลักของ Il-Belt Valletta หรือ Valletta เมืองหลวงของประเทศ

อาคารแรกที่เห็นคือ Il-Parlament il-Ġdid (The New Parliament) ที่ประชุมสภาของประเทศมอลต้า

เดินตาม Triq Ir-Repubblika (Republic Street) ถนนสายหลักผ่านกลางเมืองไปเช็คอินที่ La Vallette ที่พักราคาไม่แพงแล้วใน Valletta ห้องพักคืนนี้ 86.40 ยูโร ไม่มีอาหารเช้า

ที่พักในวัลเล็ตต้าราคาค่อนข้างแพงเลยครับ เท่าที่ search หาดู ที่พักทำเลดีๆ ใกล้ประตูเมืองและ Valletta Main Bus Terminus ราคาคืนนึง 150 ยูโรขึ้นไปทั้งนั้น เราจึงต้องยอมเดินไกลหน่อยเข้าตัวเมืองโดยเลือกที่พักที่อยู่ไม่ไกลจากถนนสายหลัก Triq Ir-Repubblika และไม่ต้องเดินขึ้นบันไดหรือเนิน

บ้านเลขที่ของ La Vallette หายากหน่อยเพราะเลขที่บ้านเรียงมั่วซั่ว วิธีหาง่ายๆ คือเดินตรงตาม Triq Ir-Repubblika (Republic Street) ประมาณ 600 เมตรไปจนถึง Misraħ San Ġorġ (St. George’s Square) เลี้ยวซ้ายลงทางลาดของ Triq L-Arcisqof (Archbishop Street) ถึงสี่แยกแรกก็เลี้ยวขวาเข้า Strait Street เดินอีกนิด ที่พักอยู่ขวามือ

โปรแกรมครึ่งวันบ่ายวันนี้เราจะไปหมู่บ้านป๊อปอายก่อนเป็นที่แรก

เดินออกประตูเมือง Bieb il-Belt กลับไปที่ Valletta Main Bus Terminus เดินผ่านป้าย Valletta A หมายเลขต่างๆ แล้วเลี้ยวซ้ายไปที่ป้าย Valletta B6

ไป Mellieħa หรือ Popeye Village 

นั่งรถเมล์สาย 41, 42, 49 ขึ้นรถไปสแกน tallinja card แบบ 12 Single Day Journeys card แล้วนั่งยาวไปชั่วโมงกว่าทั้งที่ระยะทางไม่ถึง 25 กิโล เพราะรถเมล์จอดป้ายบ่อยมากและหลายช่วงรถติดด้วย ถ้าอยากเที่ยวแบบสะดวกๆ ก็เช่ารถขับได้ครับ ขับพวงมาลัยขวาเหมือนบ้านเรา ถนนไม่ซับซ้อน ขับไม่ยากเลย

เช็คเส้นทางรถเมล์สายต่างๆ และตารางเวลาได้ที่ www.publictransport.com.mt/en/routes-timetables เลือก View All Routes แต่รถเมล์มาไม่ค่อยตรงเวลาเท่าไหร่ครับ

ลงที่ป้าย Il-Mellieha Ghadira (ใน google map คือ Skrajda) ตรงชายหาด l-Bajja tal-Għadira (Għadira Bay)

ดูเวลารถเมล์สาย 101 (ไป Mgarr) ที่ป้ายฝั่งใกล้ชายหาด แต่ต้องรออีกนานเลย จะไป Popeye Village ไม่ทันเวลาปิด รถเมล์ที่นี่ไม่ค่อยตรงเวลาด้วย ทำแผนเราเสียไปพอสมควรเลย แท็กซี่ก็ไม่มี ใช้เดินเร็วเอาก็ได้วะ! 555

เดินไปที่วงเวียนแล้วเลี้ยวขวาตรงขึ้นทางชันยาวไปแล้วแยกขวาเข้าถนนเล็กหน่อย ตรงดิ่งไปยัง Popeye Village ระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร (ถ้านั่งรถเมล์มาแค่ 3 นาทีก็ถึงป้าย Popeye แล้ว)

เข้าชม Sweethaven Village หมู่บ้านเจ้าของฉายา Popeye Village” แห่งมอลต้า กลุ่มบ้านไม้ของชาวประมงที่ตั้งเรียงกันอยู่บริเวณอ่าว Anchor ห่างจากเขตหมู่บ้าน Mellieħa ราว 3 กิโลเมตร

Mellieħa คือหมู่บ้านที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในบรรดาหมู่บ้านริมทะเลต่างๆ ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะ Malta หมู่บ้านชาวประมงแห่งนี้เริ่มก่อตั้งรกรากโดยชาวอังกฤษในสมัยอยู่ภายใต้การปกครองของสหราชอาณาจักร การที่มีชาวอังกฤษอพยพมาอยู่มากทำให้วิถีชีวิตต่างๆ ของคนที่นี่ค่อนข้างจะเป็นแบบบริติช ทั้งภาษา อาหารการกิน และวัฒนธรรม

หมู่บ้านป๊อปอายถูกสร้างจำลองขึ้นมาเมื่อปีค.ศ. 1980 เพื่อใช้เป็นสถานที่จัดการแสดงละครเพลงสดเรื่อง Popeye ซึ่งเกิดจากความร่วมมือของสองบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Paramount Pictures และ Walt Disney นำแสดงโดย Robin Williams

ปัจจุบันหมู่บ้านแห่งนี้เปิดให้เข้าชมทั้งในฐานะพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งและเอ็นเตอร์เทนเมนต์คอมเพล็กซ์สำหรับกลุ่มครอบครัวโดยเฉพาะ โดยเปิดทุกวัน ในเดือนพ.ย.-มี.ค. 09.30-16.30 น., เม.ย.-มิ.ย. และ ก.ย.-ต.ค. 09.30-17.30 น., ก.ค.-ส.ค. 09.30-19.00 น.

เช็คเวลาเปิด-ปิดได้ที่ Popeye Village

ค่าเข้าแบบ Summer Package เดือนเม.ย.-มิ.ย. และ ก.ย.-ต.ค. ราคา 15 ยูโร (ควรจองออนไลน์มาก่อน)

เช็คราคาแพ็คเกจต่างๆ ได้ที่ Popeye Village packages

ชมโชว์น่ารักๆ รับโปสการ์ดฟรีที่ Post Office และถ่ายรูปมุมนู้นมุมนี้ในเมืองจำลองป็อปอาย

ในเว็บบอกว่าปิด 17.30 น. แต่วันนี้ทำไมปิด 5 โมงเย็นไม่รู้ เดินออกไปข้างหน้าก็เห็นรถเมล์สาย 101 มาจอดรับคนกลับพอดี

แต่เรายังไม่กลับครับ เดินไปอีกฝั่งของอ่าว Anchor ตรงนั้นคือจุดถ่ายรูปลงไปยังหมู่บ้านป๊อปอายซึ่งเป็นวิวเอกลักษณ์ของที่นี่

ขากลับ Valletta ต้องรอรถเมล์อีกนาน แท็กซี่แถวนี้ก็ไม่มี ตัดสินใจเดินกลับไปที่ป้ายฝั่ง Għadira Bay เหมือนเดิมเลยดีกว่า นั่งรอรถเมล์อย่างนานเพราะคันที่แล้วเพิ่งผ่านไป ถึงบอกว่าเช่ารถขับสะดวกกว่า แต่เราก็เลือกใช้รถสาธารณะเพราะถูกกว่าเยอะมากกกก 55

ขึ้นรถเมล์สาย 41, 42, 49 ก็ได้กลับไปลงที่ Valletta Main Bus Terminus

เดินผ่านวงเวียน Il-Funtana tat-Tritoni (Triton Fountain) เข้าประตูเมืองกลับที่พักขึ้นดาดฟ้าไปถ่ายรูปทันพระอาทิตย์ตกพอดี

เดินเล่นถ่ายรูปในเมืองวัลเล็ตต้าที่มีซอกซอยสวยๆ แนวๆ เยอะแยะ

รูปนี้ถ่ายจาก Triq Zekka (Old Mint Street)

หาร้านอาหารจีนกินแถว Triq Ir-Repubblika (Republic Street) เพราะอยู่อิตาลีมาหลายวัน เจอแต่พิซซ่า สปาเก็ตตี้ เบื่อแล้วอ่ะ 55

ค่าครองชีพที่มอลต้าค่อนข้างสูงพอๆ กับยุโรปตะวันตกเพราะหลายอย่างต้องนำเข้า อย่างอาหารมื้อดีๆ ต้องมีไม่ต่ำกว่า 15 ยูโร

ค้างคืนที่ Valletta

วันที่ 2 ใน Malta

วันนี้ขอเที่ยว 2 เมืองหลวงของมอลต้า นั่นคือ L-Imdina (Mdina) และ Il-Belt Valletta (Valletta)

ช่วงเช้าไป Mdina ก่อน โดยขึ้นรถเมล์สาย 51, 52, 53 จากป้าย Valletta C2 ตรงข้ามป้าย Valletta B หมายเลขต่างๆ แต่ละสายมีรถทุกครึ่งชั่วโมง รอแป๊บเดียวรถก็มาแล้ว ใช้เวลา 29-37 นาที ถึงป้าย Mdina (Ir-Rabat) พอเห็นป้อมกำแพงเมืองและโบสถ์ใหญ่เด่นก็เตรียมตัวลง

เช็คเส้นทางรถเมล์สายต่างๆ และตารางเวลาได้ที่ www.publictransport.com.mt/en/routes-timetables เลือก View All Routes

ที่ตั้งเมือง Mdina อยู่ระหว่าง Valletta กับ Popeye Village แต่จัดโปรแกรมไปต่อกันเลยไม่ค่อยสะดวกเพราะรถเมล์ระหว่าง 2 จุดนี้ต้องต่อสายอื่น 2-3 ต่อ ดังนั้นจึงควรกลับมาตั้งต้นที่ Valletta จะดีกว่าครับ

ประตูเมืองอยู่ใกล้ป้ายรถเมล์เลย เดินเข้า Il-Bieb tal-Imdina (Mdina Gate) หรือ Vilhena Gate

เดินเที่ยว L-Imdina

L-Imdina (Mdina) หรือที่รู้จักกันว่า Città Vecchia หรือ Città Notabile คืออดีตเมืองหลวงของประเทศมอลต้าตั้งอยู่บนเนินเขาทางตอนกลางของเกาะ เมืองเล็กๆ ที่เจริญด้วยประวัติศาสตร์แห่งนี้ล้อมรอบด้วย Is-Swar tal-Imdina (fortifications of Mdina) หรือแนวกำแพงเมืองยุคกลางซึ่งเป็นเครื่องหมายสำคัญในการแสดงอาณาเขตเมืองที่รู้จักกันทั่วไปว่า “Silent City” ในอดีตเมืองนี้เคยเป็นดินแดนในปกครองของอาณาจักร Phoenician มาอย่างยาวนาน ทำให้ปัจจุบันก็ยังคงสามารถพบเห็นชาว Punic ที่สืบเชื้อสายมาจากชาวฟินีเชียนได้ทั่วไปภายในเมือง

รูปนี้ถ่ายจากนอกเมือง Mdina

พอลอดประตูเมืองไปก็ถึง Mużew Nazzjonali tal-Istorja Naturali (National Museum of Natural History) พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์ธรรมชาติอยู่ในอาคาร Il-Palazz De Vilhena (Vilhena Palace) หรือ Palazz Maġisterjali (Magisterial Palace) วังสไตล์เฟรนช์บาโรคที่สร้างในปีค.ศ. 1726

ตรงข้ามกันคือ It-Torri tal-Istandard (Torre dello Standardo) หรือ Tower of the Standard หอคอยนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Is-Swar tal-Imdina (fortifications of Mdina)

เลี้ยวซ้ายเดินตามถนน Triq IL Villegaignon ราว 200 เมตรก็ถึง Pjazza San Pawl (Saint Paul Square) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Il-Katidral Metropolitan ta’ San Pawl (Metropolitan Cathedral of Saint Paul) หรือ Mdina Cathedral โบสถ์โรมันคาทอลิกที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 แต่พังเสียหายจากแผ่นดินไหวที่เกาะซิซีลีเมื่อปีค.ศ. 1693 ต่อมาในปีค.ศ. 1696 จึงได้รับการบูรณะขึ้นใหม่ในสไตล์บาโรคโดยสถาปนิกท้องถิ่นนามว่า Lorenzo Gafà

เลยไปนิดคือ Palazzo Santa Sofia วังเก่าแก่ที่ชั้นใต้ดินสร้างตั้งแต่ปีค.ศ. 1233 ส่วนชั้นบนสร้างภายหลังในศตวรรษที่ 20 เชื่อกันว่าวังแห่งนี้เป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองที่ยังหลงเหลืออยู่

ถัดไปอีกหน่อยคือ Kappella ta San Rokku (St Roque’s Church) หรือ Chapel of Our Lady of Light เป็นที่ตั้งของ Palazzo Falson (Norman House) บ้านของครอบครัวขุนนางที่คาดว่าสร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1495 ถือเป็นสิ่งก่อสร้างที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของเมือง ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงข้าวของเครื่องใช้โบราณต่างๆ

เดินไปจนสุดทางที่กำแพงเมือง วนกลับอีกทางผ่านด้านหลังโบสถ์ San Pawl กลับไปยังประตูเมือง

เมืองเล็กมากๆ ขนาดเดินเที่ยวช้าๆ ยังใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวเองครับ

เดินกลับไปที่ป้าย Mdina (Ir-Rabat) ขากลับ Valletta ก็นั่งรถเมล์สาย 51, 52, 53 เหมือนเดิม แต่นั่งไปแค่ 2 ป้าย เราก็ลงเพื่อหามุมถ่ายรูปเมือง Mdina จากนอกเมือง ได้ภาพแบบนี้ครับ

11 โมงนิดๆ ก็กลับถึง Valletta

ได้เวลาเที่ยว Valletta

Il-Belt Valletta หรือ Valletta คือเมืองหลวงของประเทศมอลต้าที่มีเสน่ห์จากบ้านเรือนสุดคลาสสิกซึ่งสร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 ในสถาปัตยกรรมแบบบาโรคเป็นส่วนใหญ่แต่ก็มีการผสมผสานศิลปะ Mannerism (เรอเนสซองส์ตอนปลาย) นีโอคลาสสิก และสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เข้าไปเช่นกัน ตัวเมืองวัลเล็ตต้าได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO เมื่อปีค.ศ. 1980

photo credit: www.netmaps.net

เดินเข้า Bieb il-Belt (City Gate) หรือประตูเมืองหลักอีกครั้ง ขึ้นบันไดสูงด้านข้าง Il-Parlament il-Ġdid หรืออาคารรัฐสภาแล้วเลี้ยวซ้ายไปยัง Castille Place ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Berġa ta’ Kastilja (Auberge de Castille) แต่เดิมอาคารเก่าแก่ที่สร้างเสร็จในปีค.ศ. 1574 นี้คือบ้านของอัศวิน Hospital of Saint John แห่ง Jerusalem ผู้ปกครองมอลต้าในอดีต ปัจจุบันเป็นที่ทำงานของ Prim Ministru ta’ Malta หรือนายกรัฐมนตรีแห่งมอลต้า

อีกด้านหนึ่งคือ Kavallier ta’ San Ġakbu (Saint James Cavalier) ป้อมปราการที่สร้างในศตวรรษที่ 16 โดยอัศวิน Hospital of Saint John ปัจจุบันเป็นศูนย์วัฒนธรรมที่รู้จักกันว่า Spazju Kreattiv หรือ Creative Space

เดินลงทางลาดขวามือไปมีจุดถ่ายรูปสวยๆ ที่เห็นป้อมตรง Il-Barrakka ta’ Fuq (Upper Barrakka Gardens) ฝั่ง Malta, il-Port il-Kbir (Grand Harbour) และป้อมเมืองบนฝั่ง Birgu

เดินกลับไปทาง Castille Place แล้วเลี้ยวขวาไปทาง Barakka Lift ลิฟท์ขึ้นชมวิวที่เห็นอยู่ไม่ไกล ผ่านอาคาร Borża ta’ Malta (Malta Stock Exchange) ก็เห็นทางเข้า Il-Barrakka ta’ Fuq (Upper Barrakka Gardens) อยู่ขวามือ

เข้าประตูไปเจอสวนสวยงาม

ลอดโค้งประตูมองลงไปข้างล่างคือ Batterija tas-Salut (Saluting Battery) ป้อมปืนใหญ่ส่วนหนึ่งของ Is-Swar tal-Belt Valletta (fortifications of Valletta) เหนือ il-Port il-Kbir (Grand Harbour)

ตรงนี้เป็นจุดถ่ายรูปอีกแห่ง แต่นักท่องเที่ยวเยอะกว่าจุดแรกที่แทบไม่มีคนเลย

เดินกลับไปที่ Castille Place เดินเข้าถนนระหว่าง Auberge de Castille กับป้อม Saint James กลับไปที่ Triq Ir-Repubblika (Republic Street) ถนนที่เดินเข้าประตูเมืองมา

ตรงนี้เป็นที่ตั้งของ It-Teatru Rjal หรือ Pjazza Teatru Rjal (Royal Theatre) หรือ Royal Opera House โรงละครโอเปร่าสวยงามที่ออกแบบโดย Edward Middleton Barry สถาปนิกชาวอังกฤษและก่อสร้างในปีค.ศ. 1866 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 อาคารถูกทิ้งระเบิดทำลายยับเยินและถูกปล่อยทิ้งร้างหลายปี กระทั่ง Renzo Piano สถาปนิกอิตาเลียนได้ทำการออกแบบอาคารใหม่อีกครั้งและเปิดใช้เป็นสถานที่แสดงละครและโอเปร่าในปีค.ศ. 2013

เดินตามถนน Triq Ir-Repubblika เข้ากลางเมืองนิดเดียวก็เลี้ยวขวาเข้าถนน Triq San Ġwann ก็เห็น Kon-Katidral ta’ San Ġwann (St John’s Co-Cathedral) โบสถ์โรมันคาทอลิกที่สร้างโดยอัศวิน Hospital of Saint John แห่ง Jerusalem ในช่วงปีค.ศ. 1572-1577

เดินต่อตาม Triq Ir-Repubblika ผ่าน Il-Monument tal-Assedju l-Kbir (Great Siege Monument) ก็ถึง Misraħ ir-Repubblika (Republic Square) ซึ่งมีรูปปั้นของพระนางเจ้า Victoria แห่งสหราชอาณาจักรตั้งอยู่ จัตุรัสแห่งนี้จึงถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า Pjazza Reġina (Piazza Regina) หรือ Queen’s Square

ที่นี่เป็นที่ตั้งของ Bibljoteka Nazzjonali ta’ Malta (National Library of Malta) หรือเรียกย่อๆ ว่า Bibljoteka ด้วย

เลี้ยวขวาเข้า Old Theatre Street ด้านข้างหอสมุดแห่งชาติมีมุมถ่ายรูปคูลๆ (ถ้าเลี้ยวซ้ายไปไม่ไกลก็จะถึง Bażilika Santwarju tal-Madonna tal-Karmnu (Carmelite Church) โบสถ์ที่สวยงามโดดเด่นที่สุดของเมือง)

เดินตาม Triq Ir-Repubblika ต่ออีกก็ถึง Misraħ San Ġorġ (St. George’s Square)

ตรงข้ามกันคือ Il-Palazz tal-Granmastru (Grandmaster’s Palace) วังของอัศวิน Hospital of Saint John ซึ่งเรียกกันว่า Palazz Maġisterjali (Magisterial Palace) ต่อมาได้กลายเป็น Palazz tal-Gvernatur (Governor’s Palace) และอาคารที่ทำงานของ President ta’ Malta หรือประธานาธิบดีแห่งมอลต้าในปัจจุบัน บางส่วนของอาคารเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงอาวุธยุทโธปกรณ์สมัยโบราณที่เรียกว่า L-Armerija tal-Palazz (Palace Armoury)

ตรงต่อไปเรื่อยๆ ระหว่างทางของถนน Triq Ir-Repubblika เต็มไปด้วยบ้านเรือนสวยงามซึ่งมีเอกลักษณ์ที่ระเบียงหลากสีหลายดีไซน์ที่ยื่นออกมาจากตัวบ้าน

ไม่ไกลก็เห็นป้อมขนาดใหญ่ เลี้ยวขวาเดินไปยัง Forti Sant’Iermu (Fort Saint Elmo) ป้อมกำแพงเมืองแรกที่ก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1552 ตรงปลายคาบสมุทร Sciberras

เดินวนอีกทางหนึ่งเลียบทะเลตรงไปประมาณ 200 เมตรก็ถึง Siege Bell War Memorial ที่มีรูปปั้น Monumento commemorative และเป็นจุดชมวิว il-Port il-Kbir (Grand Harbour) หรือ Port of Valletta

ลงบันไดแล้วเดินลงตามถนนแคบๆ ชื่อ Triq San Nikola (St. Nicholas Street)

พอถึงโบสถ์ St. Nicholas ก็เลี้ยวซ้ายเดินตาม Triq Il-Merkanti (Merchants Street) ถนนสวยอีกสายของวัลเล็ตต้า

ตรงไปจนถึงจุดตัดกับ Triq Santa Luċija (St. Lucia Street) ถนนนี้ก็สวยดีครับ

เลี้ยวขวาไปก็วนกลับไปที่จัตุรัสกลางเมือง Misraħ ir-Repubblika (Republic Square) ที่ Triq Ir-Repubblika (Republic Street) เดินผ่านหน้าหอสมุดแห่งชาติแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Old Theatre ตรงไปนิดก็ถึง Bażilika Santwarju tal-Madonna tal-Karmnu (Basilica of Our Lady of Mount Carmel) หรือเรียกง่ายๆ ว่า Carmelite Church คือโบสถ์ที่โดดเด่นที่สุดของเมืองมีหลังคาโดมขนาดใหญ่สูง 42 เมตร

ไม่ได้ถ่ายรูปโบสถ์ตอนกลางวันมานะครับ จริงๆ ภาพโดมของโบสถ์ที่ชัดเจนต้องถ่ายจากเรือไป Sliema ย้อนกลับไปยังฝั่ง Valletta ซึ่งเดี๋ยวเราจะไปข้ามเรือกัน

ตรงเลยไปอีกคือ Il-Pro-Katridral ta’ San Pawl (St Paul’s Pro-Cathedral)

ลงบันไดข้างโบสถ์ไปที่ถนนด้านล่าง ด้านหลัง St Paul’s Pro-Cathedral คือ Carmelite Church ครับ

เลี้ยวซ้ายเดินตรงผ่านทางลาดลงทางขวามือไปถึงป้อมค่อยยูเทิร์นขวาเดินลงไปยังท่าเรือ Sliema Ferry

14.15 น. นั่งเรือ tallinja ferry ข้าม Marsamxett Harbour ไปยังฝั่งเมือง Sliema (Tas-Sliema) เรือออกทุก 30 นาที ใช้เวลาเดินทาง 6 นาที ค่าเรือราคาเที่ยวละ 1.50 ยูโร ตั๋วไป-กลับราคา 2.80 ยูโร

อัพเดทข้อมูลได้ที่ Valletta Ferry
เช็ครอบเรือได้ที่ Valletta Ferry schedule

ถ่ายรูปเมืองวัลเล็ตต้าที่เห็นโดมของโบสถ์ Carmelite จากบนเรือครับ

เมือง Sliema หน้าตาแบบนี้ ไม่มีอะไรให้เที่ยวเลย 555

บ่าย 3 ครึ่ง นั่งเรือกลับ Valletta เดินกลับที่พักไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้แล้วเดินออกประตูเมืองไปขึ้นรถเมล์ Express สาย X4 ที่ Valletta Main Bus Terminus ป้าย Valletta B3 ตอน 16.35 น. (คันต่อไปอีกครึ่งชั่วโมง)

เช็คสายรถเมล์ที่ใช้เดินทางจากสนามบินไปยังเมืองต่างๆ และตารางเวลาได้ที่ www.publictransport.com.mt/airport-services

5 โมงนิดๆ ถึง Ajruport Internazzjonali ta’ Malta (Malta Luqa Airport)

เราจะบินกลับกรุงเทพฯ โดยสายการบิน Turkish Airlines ไฟลท์ TK1372 ตอน 18.55 น. บิน 2 ชั่วโมง 20 นาที ไปแวะเปลี่ยนเครื่องที่ İstanbul Atatürk Havalimanı (Istanbul Atatürk Airport) ประเทศตุรกี

01.25 น. ของวันรุ่งขึ้น ไฟลท์ TK68 ออกจาก İstanbul กลับถึงสนามบินสุวรรณภูมิ 15.00 น. วันเดียวกัน ใช้เวลาบินอีก 9 ชั่วโมงครึ่งโดยประมาณ

เส้นทาง Malta – Bangkok มีสายการบินไม่มากและไม่มีไฟลท์บินตรงนะครับ เราเลือกใช้บริการของ Turkish Airlines เพราะออกจาก Malta เย็นสุด จะได้มีเวลาเที่ยวในวันนั้นอีกเยอะ และใช้เวลาบินรวมเวลาต่อเครื่องน้อยที่สุดประมาณ 15 ชั่วโมง ส่วนขาไปจากกรุงเทพฯ เวลาดีมากครับ ออกตอนดึก นอนบนเครื่องไปต่อไฟลท์เช้า ถึงสนามบิน Malta 09.50 น. ไม่เสียเวลาเดินทางตอนกลางวัน ไปถึงแล้วเที่ยวต่อได้เลยครับ 😀

เช็คตารางเวลาและซื้อตั๋วได้ที่ www.turkishairlines.com

*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต