Italy คือประเทศที่ 5 ของ Greek to Roman Trip
เรามาเที่ยวอิตาลีเป็นครั้งที่ 3 แล้วครับ ครั้งแรกเที่ยวตามท่ามาตรฐานก่อนเลยคือ Rome – Pisa – Florence – Venice – Milan ส่วนครั้งที่ 2 ไปเที่ยวหมู่บ้านเล็กๆ ใน Cinque Terre เพิ่ม และไป Pisa – Florence ซ้ำเพราะรูปครั้งแรกเยินมาก 555 ไป Bologna, San Marino, Rimini, Ancona และข้ามเรือไปโครเอเชีย
แต่อิตาลีเป็นประเทศที่มีเมืองน่าเที่ยวและสถานที่สวยๆ อยู่ทั่วประเทศตั้งแต่เหนือจรดใต้ เราจึงต้องกลับมาเที่ยวอิตาลีอีกครั้ง คราวนี้ขอเที่ยวอิตาลีใต้บ้างครับ รีวิวตอนแรกนี้จะพาไปชมเมือง Matera กัน

รีวิวตอนล่าสุด เราไปเที่ยว 2 เมืองหลักของประเทศ Macedonia มา และนั่งรถบัสจากเมือง Struga กลับเข้าดินแดนประเทศ Albania อีกครั้ง มุ่งหน้าไปยัง Durrës เมืองท่าริมทะเลอเดรียติคเพื่อนอนในเรือเฟอร์รีข้ามคืนไปเช้าที่เมือง Bari ทางตอนใต้ของอิตาลี
อ่านรีวิว Albania, Kosovo และ Macedonia ซึ่งเป็นเส้นทางต่อเนื่องกันได้ที่
SHQIPËRI มีอะไรให้เที่ยวเอง “Berati – Tiranë – Durrës” สามเมือง สามอารมณ์ ของอัลเบเนีย
KOSOVO ไปทำไม! เที่ยวเอง “Prizren – Prishtina” 2 เมืองของดินแดนอิสระน้องใหม่ของโลก
MACEDONIA ดินแดนนอกฝัน..เที่ยวเอง “Skopje – Ohrid” เมืองฝรั่งปนแขก แตกต่างแต่ลงตัว
จุดเริ่มต้นของ Greek to Roman Trip คือ Greece อ่านความเดิมได้จาก 3 รีวิวประเทศกรีซได้เลยครับ
กรีซให้สุด..เที่ยวเอง GREECE ตอนที่ 1 “Santorini” อยากอยู่แบบนี้นานๆ ได้ไหม
กรีซให้สุด..เที่ยวเอง GREECE ตอนที่ 2 “Athens” น่าทึ่งว่าคนโบราณเค้าสร้างเมืองกันได้ยังไง
กรีซให้สุด..เที่ยวเอง GREECE ตอนที่ 3 “Meteora” อารามลอยฟ้าอันวิเวกแห่งกรีซ
จากเมือง Durrës ของ Albania
เราขึ้นเรือ Adria Ferries ตอน 22.00 น. จาก Terminali i Trageteve (Durrës Ferry Terminal) หรือ Porti i Durrësit ค่าเรือ Durrës – Bari ห้อง 2 Berth Inside Cabin (Shower/WC) ราคาคนละ 121.43 ปอนด์ (2,765 บาท) ซื้อผ่านเว็บไซต์ล่วงหน้าได้เลย
เช็คตารางเวลาเรือของบริษัทต่างๆ และซื้อตั๋วได้ที่ www.aferry.com
8 โมงเช้า เดินทางถึงท่าเรือ Porto di Bari ประเทศอิตาลี ใช้เวลาเดินทาง 10 ชั่วโมงพอดี
ต่อคิวผ่านตม. เข้าประเทศเชงเก้นอีกครั้ง จากนั้นเดินออกไปที่ด้านหน้าอาคารท่าเรือ
ทางซ้ายมือมีป้ายรถเมล์อยู่ (ป้าย Interno Porto Stazione Marittima) แต่รถเมล์รอบ 08.38 น. เพิ่งผ่านไป เลยเดินไปหาครัวซองส์และเอสเปรสโซกินรองท้อง รอรถเมล์คันต่อไปถึง 09.22 น.
เช็คเวลารถเมล์ได้ที่ www.amtab.it แต่ตอนนี้เข้าเว็บไม่ได้แล้ว ดูตารางรถที่ป้ายก็ได้ครับ
นั่งรถเมล์สาย 20/ เข้ากลางเมืองไปลงที่สถานีรถไฟกลาง Bari Centrale (Stazione Centrale di Bari) ค่าตั๋วรถเมล์ Biglietto ordinario di corsa semplice (one way) ราคา 1.50 ยูโร ซื้อจากคนขับรถได้
เช็คค่าตั๋วรถเมล์จาก www.amtab.it แต่ตอนนี้เข้าเว็บไม่ได้แล้ว
Bari เป็นเมืองขนาดใหญ่และเป็นเมืองท่าสำคัญทางภาคใต้ของอิตาลี ในเมืองไม่ค่อยมีอะไรน่าเที่ยวเท่าไหร่ บริเวณเมืองเก่าซึ่งอยู่ไม่ไกลจากท่าเรือมีโบสถ์ประจำเมืองคือ Basilica di San Nicola (Basilica of Saint Nicholas) และ Duomo di Bari (Cattedrale di San Sabino) หรือ Bari Cathedral แต่ก็ไม่ได้สวยงามอะไร ใกล้เขตเมืองเก่ามีอาคารเก่าแก่คือ Teatro Piccinni แค่นั้น เราจึงไม่เที่ยวเมือง Bari โดยนั่งรถเมล์ไปลงที่สถานีรถไฟกลางเลย

ในสถานีรถไฟกลาง Bari Centrale มีห้องรับฝากกระเป๋า แต่คิดเป็นชิ้น 5 ชั่วโมงแรกคิดชิ้นละ 6 ยูโร กระเป๋าสะพายก็คิดด้วย เราเลยไม่ฝากเพราะมันแพงเกินไป
Bari ไม่มีอะไรเที่ยว เราเดินตรงจากวงเวียนหน้าสถานีรถไฟผ่านสวนที่ Piazza Umberto I เข้าถนนช้อปปิ้งของเมืองชื่อ Via Sparano da Bari เดินเล่นชมเมืองนิดหน่อยพอครับ
เดินกลับไปที่สถานีรถไฟ หันหน้าเข้าหาอาคารสถานี ทางขวาคือสถานีรถไฟสำหรับไปสนามบินและสถานีรถไฟ Ferrovie Appulo Lucane หรือ Ferrovie Nord Barese (Ferrotramviaria) รถไฟเอกชนสำหรับใช้เดินทางไปเมือง Matera
ตอนแรกวางแผนจะนั่งรถไฟเวลา 12.32 น. ไป Matera แต่ดูตารางเวลารถไฟในสถานีแล้วเปลี่ยนใจไปรอบ 11.31 น. เลย
เช็คตารางเวลารถไฟ FAL ล่วงหน้าได้ที่ Ferrovie Appulo Lucane train (วันอาทิตย์ไม่มีรถไฟ)
ซื้อตั๋วรถไฟ Ferrovie Appulo Lucane (FAL) ราคา 4.90 ยูโร แล้วขึ้นรถไฟโบกี้หน้าสุดเพราะเมื่อถึงสถานีรถไฟ Altamura จะตัดขบวนเหลือแค่โบกี้แรกไป Matera ต่อ ส่วนโบกี้อื่นจะย้อนกลับไป Bari
ระยะทางประมาณ 65 กิโลเมตร แต่ต้องนั่งรถไฟนานเกือบ 2 ชั่วโมง เพราะรถไฟท้องถิ่นแล่นช้าและจอดตามสถานีต่างๆ ค่อนข้างถี่ กว่าจะถึงสถานีรถไฟ Ferrovie Appulo Lucane Matera Centrale (Matera Centrale Stazione FAL) ก็ 13.22 น.
นอกจากรถไฟ มีอีกวิธีแต่ไม่สะดวกเท่าคือ นั่งรถบัสจากป้ายหน้าโรงพยาบาล Mater Dei Hospital ที่ถนน Via Raffaele Bovio ไปลงที่จัตุรัส Piazza della Visitazione เมือง Matera ใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมงเหมือนกัน ตั๋วรถบัสราคา 4.90 ยูโร
เช็คตารางเวลารถบัสได้ที่ Ferrovie Appulo Lucane bus
ออกจากสถานีรถไฟ Matera Centrale เจอลานจอดรถ เดินไปทางซ้ายก็เห็นอาคารสีแดงเขียนว่า Matera นั่นคือ Tourist Information แต่ปิดอยู่ เลยไปมีป้ายรถเมล์ ตรงนี้คือ Piazza Giacomo Matteotti ซึ่งเป็นชุมทางรถเมล์ของเมือง พรุ่งนี้เราก็ต้องมาขึ้นรถบัสไปเมือง Salerno ที่นี่
อาคารตรงข้ามป้ายรถเมล์ที่มีป้าย fly Alitalia คือเอเยนต์ชื่อ Kronos ขายตั๋วรถบัส FrecciaLink ไป Salerno แต่เรายังซื้อตั๋วไม่ได้เพราะปิดตอนบ่าย คนอิตาลีใต้มีวัฒนธรรมพักงีบหลับตั้งแต่ประมาณบ่ายโมงถึง 4 หรือ 5 โมงเย็น แล้วค่อยกลับมาทำงานต่อถึงค่ำ ร้านค้า ร้านอาหาร หน่วยงานหลายแห่งจึงปิด ยกเว้นคนที่ขยันก็จะเปิดตามปกติ
จากป้ายรถเมล์ ข้ามถนนเดินลงทางลาดตามป้ายบอกทางไป Sassi (ถนน Via Don Minzoni หรือ Via Don Giovanni Minzoni) ซึ่งเป็นเส้นทางเข้าศูนย์กลางเมือง ตรงไปต่อตามป้ายบอกทางไป Castello นิดเดียวก็ถึงที่พักชื่อ Da Vinci ที่ถนน Via Lucana เจ้าของลงมาเปิดประตูพาเราไปเลือกห้องพัก ที่พักเป็นแบบ Bed & Breakfast มีพื้นที่ส่วนกลางให้กินอาหาร ทำครัว และแบ่งเป็นห้องพักที่มีห้องน้ำในตัว จ่ายค่าห้องเป็นเงินสด 63 ยูโร + ภาษีอีก 4 ยูโร ถือว่าราคาถูกและทำเลดีมาก มีอาหารเช้าชุดใหญ่ให้ด้วย (เอารูปมาให้ดูเลย)
นั่งรอจนใกล้ๆ 4 โมงเย็นก็เดินกลับไปที่ Piazza Giacomo Matteotti เข้าไปซื้อตั๋วรถบัส FrecciaLink ไป Salerno ที่เอเยนต์ชื่อ Kronos ค่าตั๋วรถบัส Matera – Salerno ราคา 38 ยูโร แพงกว่าราคาที่หามา 6 ยูโร เพราะน่าจะต้องเสียค่าเอเยนต์เพิ่มเพราะต้องซื้อผ่านเอเยนต์เท่านั้น จะซื้อทางเว็บหรือจากคนขับไม่ได้ รถบัสเป็นวิธีการเดียว (ถ้าไม่ขับรถ) ที่ใช้เดินทางจาก Matera ไปยังชายฝั่งตะวันตกของอิตาลี
เช็คเวลารถบัสและรถไฟของอิตาลีได้ที่ Italy train
กลับที่พักไปนั่งคอยให้แดดร่มลมตกหน่อยเพราะวันนี้ร้อนมากๆ เราไปช่วงต้นฤดูร้อนครับ กว่าจะมืดเกือบ 3 ทุ่ม เดินเที่ยวตอนเย็นๆ ทันสบายๆ
เริ่มเที่ยว Matera
ออกจากที่พัก เดินไปทางขวาปุ๊บก็เลี้ยวขวาเข้าถนน Via Luigi La Vista เข้าสู่ Sassi di Matera เมืองโบราณของ Matera ที่มีชื่อเสียงจากถ้ำ (grotta) นับหมื่นที่มีหลักฐานปรากฏว่ามีคนอาศัยอยู่ที่นี่มาตั้งแต่ 7,000 ปีก่อนคริสตกาล มาเตร่าจึงเป็นเมืองที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ของโลก รองจาก Aleppo ของซีเรีย และ Jericho ในเขต West Bank ของปาเลสไตน์
องค์การ UNESCO ได้ขึ้นทะเบียนให้เมืองโบราณแห่งนี้เป็นมรดกโลกเมื่อปีค.ศ. 1993
ที่แรกที่เดินถึงคือ Piazza Vittorio Veneto จัตุรัสกลางเมืองซึ่งล้อมรอบด้วยวังเก่า Palazzo dell’Annunziata ที่ตอนนี้เป็นโรงหนัง Cine Teatro Comunale, โบสถ์ Chiesa di San Domenico และอาคารเก่าแก่ Belvedere Luigi Guerricchio
ใต้จัตุรัสมีอ่างเก็บน้ำสำหรับใช้สอยในสมัยก่อนที่ใหญ่ที่สุดในเมืองเรียกว่า Palombaro Lungo
ลอดโค้งประตูของ Belvedere Luigi Guerricchio ไปมีจุดชมวิว Sassi di Matera
จากนั้นเดินไปที่โบสถ์ Chiesa di San Domenico เลี้ยวขวาเดินตามถนน Via San Biagio แป๊บนึงก็ถึง Piazza San Giovanni ที่ตั้งของโบสถ์ Chiesa di San Giovanni Battista
ตรงไปอีกนิดมีจุดชมวิวอยู่ทางขวามือ หอสูงโดดเด่นอยู่ไกลๆ คือหอระฆังสูง 52 เมตรของ Duomo di Matera (Cattedrale di Santa Maria della Bruna e di Sant’Eustachio) หรือ Matera Cathedral โบสถ์โรมันคาทอลิกที่สร้างในสถาปัตยกรรมแบบ Apulian Romanesque เสร็จสมบูรณ์ตั้งแต่ปีค.ศ. 1270 บนจุดสูงสุดของ Sassi di Matera เพื่ออุทิศแด่นักบุญ Santa Maria della Bruna
เดินต่อแล้วลงบันไดลัดเลาะไปตามบ้านเมืองเก่าแก่ไม่ไกลอยู่ดีๆ ก็ไปโผล่ที่ Monastero di Sant’ Agostino (Convent of Saint Agostino)
ตรงนี้เป็นอีกจุดชมวิวหนึ่งของมาเตร่า
เดินลงไปที่ถนนเลียบริมหน้าผาด้านล่าง ระหว่างทางอยากเข้าซอกไหนก็แวะเข้าไปเลย
เดินผ่านจัตุรัสหน้าโบสถ์ Chiesa di San Pietro Caveoso ไปที่จุดชมวิวตรงโขดหินสูงข้างหน้าที่เรียกว่า Sasso Caveoso
ระหว่างทางมีมุมถ่ายรูปเพียบครับ
นี่คือทางขึ้น Sasso Caveoso ตรง Momart (Modern Art Museum)
รับประทานมื้อเย็นที่ Ristorante Francesca รอให้ใกล้มืดกว่านี้ก่อนค่อยขึ้น Sasso Caveoso ไปถ่ายรูปวิวบ้านเมืองมาเตร่า
ร้านอาหารหรูแต่ราคาไม่ได้แพงกว่าร้านทั่วไปมากนัก ค่าอาหารที่มาเตร่ารวมๆ ถือว่าค่อนข้างสูงตามมาตรฐานยุโรปเลย แต่ร้านอาหารที่อิตาลีส่วนมากจะคิดค่าที่นั่งเพิ่มด้วย มื้อนี้หมดไป 28 ยูโร + ค่าที่นั่งอีกคนละ 3 ยูโร
พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง ขึ้นบันไดไปยัง Sasso Caveoso ถ่ายรูปมุมเอกลักษณ์อีกมุมของมาเตร่า
มืดแล้ว ต้องใช้ Google map ช่วยนำทางเดินลัดเลาะกลับขึ้นไปในตัวเมืองไปยังโบสถ์ Chiesa di San Francesco D’Assisi ที่ Piazza San Francesco
เดินต่อตามถนน Via del Corso นิดเดียวก็กลับไปที่ Piazza Vittorio Veneto ที่เดิม
เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Via Luigi La Vista เดินกลับที่พัก
พรุ่งนี้สายๆ เราจะนั่งรถบัสจากภาคใต้ฝั่งตะวันออกของอิตาลีไปเมือง Salerno ริมทะเลฝั่งตะวันตก และนั่งรถเลียบชายฝั่ง Amalfi ที่ขึ้นชื่อว่าสวยงามที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
ถ้ามีเวลาอีกสัก 2 วันก็สามารถไปเที่ยวเมือง Alberobello และ Ostuni เพิ่มได้นะครับ

*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต