“อังกฤษ” อีกครั้ง ต้องซ้ำลอนดอน
มากกว่า 10 ปีแล้วที่เราไม่ได้มาอังกฤษ ปีนี้ได้เวลาอันสมควรในการกลับมาเยือนอีกครั้ง
ทริปนี้เราตั้งใจมาทำ 2 เรื่องหลักๆ คือ เที่ยว United Kingdom (England, Scotland, Wales, Northern Ireland) รวมถึง Republic of Ireland เพื่อเขียนรีวิวเมืองหลักๆ ของยุโรปให้ครบเพราะยังไม่เคยเขียนรีวิวสหราชอาณาจักรเลย และไปชมการแข่งขันฟุตบอลพรีเมียร์ลีกอังกฤษที่สนาม Anfield ของ Liverpool

แผนเที่ยว “อังกฤษ สก็อตแลนด์ เวลส์ ไอร์แลนด์เหนือ และไอร์แลนด์” สามารถจัดได้หลากหลายมากๆ โดยเฉพาะอังกฤษที่มีเมืองท่องเที่ยวและเมืองน่าเที่ยวเพียบ แต่เนื่องจากเราเคยไปเที่ยวเองมาแล้วเกิน 20 เมืองรอบเกาะอังกฤษ ครั้งนี้จึงขอเลือกไปเที่ยวเมืองที่ยังไม่เคยไปเพิ่ม ยกเว้น London กับ Liverpool ที่ขอไปซ้ำ (เพราะชอบเป็นการส่วนตัว) 🙂
อย่างที่บอกไปว่าทริปนี้จัดแผนได้หลากหลายมาก จึงขอไม่บอกแผนเป็นทีละวันๆ เพราะคนที่ไม่ได้จะไปดูฟุตบอลก็คงไม่เลือกไปเมือง Liverpool แต่อาจจะเลือกแวะเที่ยวครึ่งทางระหว่าง London กับ Edinburgh ที่เมือง York หรือเลือกไปเมืองใกล้ๆ London เช่น Oxford, Bath, Cambridge ที่นั่งรถไฟไม่ถึง 2 ชั่วโมงแทน
ขอใช้แผนที่แสดงเส้นทางทั้งหมดของทริปประกอบรีวิวทุกตอนแทนครับ

ทริปนี้เราจัดแผนตามนี้
บินจากกรุงเทพฯ ไปกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ นั่งรถไฟขึ้นไปทางสก็อตแลนด์ก่อน นั่งรถบัสไปต่อเรือข้ามทะเลไปไอร์แลนด์เหนือ นั่งรถบัสเข้าประเทศไอร์แลนด์ ขับรถเที่ยวรอบเกาะ แล้วข้ามเรืออีกครั้งไปขึ้นฝั่งที่เวลส์ นั่งรถไฟกลับเข้าอังกฤษอีกครั้ง สิ้นสุดทริปที่กรุงลอนดอน
เหตุผลที่เลือกเข้าอังกฤษก่อนเพราะสามารถใช้วีซ่าอังกฤษซึ่งปกติจะได้เป็น Multiple Entry อยู่แล้ว เข้าประเทศไอร์แลนด์ได้โดยไม่ต้องขอวีซ่าไอร์แลนด์ (ถ้าบินลงไอร์แลนด์เลยจะต้องขอวีซ่าไอร์แลนด์)
เราจึงเลือกใช้บริการของสายการบินไทย #สบายต่างกัน บินตรงข้ามคืนสู่กรุงลอนดอนและกลับเมืองไทยจากลอนดอนเช่นกัน
เช็คตารางเวลาและซื้อตั๋วเครื่องบินได้ที่ www.thaiairways.com
ลูกค้าการบินไทยสามารถใช้บริการต่างๆ ในราคาพิเศษผ่านช่องทางออนไลน์ได้ เช่น ซื้อน้ำหนักกระเป๋าเพิ่ม เช่ารถ ใช้บริการรถลีมูซีนของ แบล็ค ไท เซอร์วิส เป็นต้น
รายละเอียดบริการเสริมต่างๆ ที่ www.thaiairways.com

เข้าเช็คอินแบบสบายๆ ไม่ต้องต่อคิวยาวเพราะใช้บัตรทอง Royal Orchid Plus สะดวกรวดเร็ว ได้น้ำหนักกระเป๋าเพิ่มเป็น 30 กิโล แถมกระเป๋าเป็น priority ด้วย


ใช้สิทธิ์เข้าใช้ Royal Silk Lounge ของ TG ไปนั่งกินชิลล์ๆ รอเวลาเครื่อง Boarding พาน้องชายเข้าได้ด้วยครับ

ตอนขึ้นเครื่องก็เข้าไปกลุ่มแรกพร้อมบิสซิเนสคลาสเลย
00.55 น. ไฟลท์ TG 910 บินตรงสู่ London Heathrow Airport
ใช้เวลาเดินทาง 12 ชั่วโมง 20 นาที

07.15 น. (เวลาอังกฤษ) เดินทางถึงสนามบิน Heathrow กรุงลอนดอน

วิธีการเดินทางเข้าเมืองลอนดอน
- รถไฟด่วนพิเศษ Heathrow Express คือวิธีการเดินทางที่รวดเร็วที่สุด มีรถไฟทุก 15 นาทีจาก Terminal 2, 3 ใช้เวลา 15 นาที และจาก Terminal 5 ใช้เวลา 21 นาที ถึงสถานีรถไฟ Paddington
ค่าตั๋วช่วง peak time (วันจันทร์-ศุกร์ 06.30-09.30 น. และ 16.00-19.00 น.) ราคาเที่ยวละ 25 GBP, ช่วง off-peak time ราคาเที่ยวละ 22 GBP, ตั๋วไป-กลับราคา 37 GBP ตลอดทั้งวัน เด็กอายุไม่เกิน 15 เดินทางพร้อมผู้ปกครองฟรี
ถ้าซื้อออนไลน์ล่วงหน้า 14 วัน ราคา 16.50 GBP, ล่วงหน้า 30 วัน ราคา 14.30 GBP
อัพเดทราคาและซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่ www.heathrow.com

- รถไฟใต้ดิน (Tube) สาย Piccadilly มีรถไฟจาก Terminal 2, 3, 4, 5 ทุก 5-10 นาทีไปยังสถานีต่างๆ ใน Central London (Zone 1) ใช้เวลา 50 นาที – 1 ชั่วโมง วันศุกร์-เสาร์เปิด 24 ชั่วโมง ตั๋วรถไฟใต้ดินโซน 1-6 ราคาเที่ยวละ 6 GBP หรือใช้ 1 Day Travelcard แบบ Zone 1-6 ราคา 18.60 GBP, ใช้ Oyster card ประเภท Pay as you go จะตัดเงินในบัตร 5.10 GBP (วันจันทร์-ศุกร์ 06.30-09.30 น.) และ 3.10 GBP ในช่วงเวลาอื่น
อัพเดทราคาได้ที่ www.heathrow.com
- TfL Rail รถไฟออกทุก 30 นาทีจาก Terminal 2, 3, 4 ใช้เวลา 30 นาที ถึงสถานีรถไฟ Paddington จ่ายเงินโดย Oyster card ประเภท Pay as you go, ใช้ Travelcard Zone 1-6 หรือซื้อจากเครื่องขายตั๋ว
- National Express coach ไปยังสถานีรถบัส Victoria coach station ใช้เวลา 40-80 นาที ค่ารถเริ่มต้นที่ 10 GBP
อ่านรายละเอียดวิธีการเดินทางต่างๆ ได้ที่ How to get to Central London
ดูแผนที่ประกอบได้ที่ London Heathrow Airport – London Map
เราวางแผนจะเดินทางในอังกฤษ สก็อตแลนด์ และเวลส์ โดยรถไฟเป็นหลักจึงใช้ BritRail Pass แบบ 4 วัน Flexi Regular, 2nd Class ราคาใบละ 243 ยูโร ซื้อได้จากตัวแทนจำหน่ายตั๋วชื่อ RTS แทนการซื้อตั๋วรถไฟทีละเที่ยวๆ ซึ่งรวมๆ แล้วแพงกว่าค่าพาส
(บัตรโดยสารแบบ Flexi เหมาะสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการโดยสารรถไฟติดต่อกันทุกวัน สามารถใช้รถไฟวันไหนก็ได้ตามจำนวนวันที่ซื้อภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันที่ใช้รถไฟครั้งแรก)

BritRail Pass นี้สามารถใช้โดยสารรถไฟด่วนพิเศษ Heathrow Express ได้ฟรีด้วย แต่ต้องทำการเปิดใช้ตั๋ว (valid) ที่เคาน์เตอร์ขายตั๋วรถไฟก่อนขึ้นรถหรือจะเปิดใช้ตั๋วที่ RTS จากเมืองไทยไปก่อนเลยก็ได้
สอบถามข้อมูลและซื้อ Eurail Pass ชนิดต่างๆ ได้ที่ Realtime Travel Solution

นั่ง Heathrow Express แค่ 15 นาทีก็ถึงสถานีรถไฟ Paddington ในเขตศูนย์กลางกรุงลอนดอน

ที่พักในลอนดอน
กรุงลอนดอนคือมหานครหนึ่งของยุโรปที่มีโรงแรมที่พักให้เลือกทุกประเภท หลากหลายระดับราคา และกระจายอยู่ทั่วทั้งเมือง สามารถเลือกได้จากเว็บจองโรงแรมทั่วไปตามความพอใจได้เลย
เราชอบที่พักที่เดินทางไปไหนมาไหนในเมืองได้สะดวก รวมทั้งไปสนามบินด้วย จึงเลือกพักใกล้ๆ สถานีรถไฟและรถไฟใต้ดิน Paddington ซึ่งมีโรงแรมให้เลือกกว่า 10 แห่ง และมีหลายแห่งราคาคืนละไม่เกิน 100 ปอนด์
เราเลือกที่พักแบบ Airbnb ที่ Talbot Square สามารถเข้าไปฝากกระเป๋าก่อนเวลาเช็คอินได้เพราะโฮสอยู่ตลอดเวลา โฮสชื่อ Litsa บริการดีมากๆ เอาชากาแฟและคุ้กกี้มาเสิร์ฟด้วย แถมให้อาหารเช้าฟรีที่โรงแรมอีกแห่งของเธอที่อยู่ใกล้ๆ เป็นพิเศษด้วย
หาและจองที่พักได้ที่ www.airbnb.com

หน้าตาห้องพักเป็นแบบนี้




การเดินทางภายในเมือง
วิธีการเดินทางไปยังที่ต่างๆ ในกรุงลอนดอนและชานเมืองหลักๆ คือ รถไฟใต้ดิน (underground / tube) รถเมล์ และเดิน เราใช้แค่ 2 วิธีคือนั่งรถไฟใต้ดินและเดินครับ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่วางแผนเที่ยวในลอนดอน 1-4 วันควรซื้อตั๋ววันที่เรียกว่า Travelcard ที่มีให้เลือกแบบ Zone 1-4 และ 1-6 รายละเอียดดังนี้
Travelcard ที่เหมาะกับนักท่องเที่ยวมีแบบ 1 วัน และ 7 วัน ใช้โดยสารรถเมล์, รถไฟใต้ดิน, รถราง, Docklands Light Railway (DLR), รถไฟ London Overground, รถไฟของ National Rail ในเขตลอนดอน, TfL Rail ได้ไม่จำกัดภายใน 1 หรือ 7 วัน ใช้เดินทางได้เลยไปจนถึงก่อนตี 4 ครึ่งหลังจากวันที่หมดอายุแล้ว และได้ส่วนลดค่า The Thames cable car (Emirates Air Line) และ River Boat
บัตร Travelcard แบบ 1 วัน มีให้เลือกแบบใช้ได้ทุกเวลากับแบบใช้ได้เฉพาะช่วง off-peak time, แบบ 7 วัน ต้องใช้รูปถ่ายตอนซื้อบัตร
1 Day Travelcard Zone 1-4 ราคา 13.10 GBP ใช้เดินทางได้ทุกเวลา
1 Day Travelcard Zone 1-6 แบบ peak time (ใช้ในวันจันทร์-ศุกร์ ก่อน 09.30 น. ได้ด้วย) ราคา 18.60 GBP, off-peak time ราคา 12.70 GBP
ซื้อได้หลายที่ เช่น เครื่องขายตั๋วในสถานีรถไฟใต้ดิน, เคาน์เตอร์ขายในสถานีรถไฟต่างๆ, London Transport Visitor Centre ที่สถานีรถไฟใต้ดิน Piccadilly Circus และ King’s Cross
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://tfl.gov.uk
อัพเดทราคาได้ที่ www.toptiplondon.com


ถ้าอยู่ใน London 5 วันขึ้นไป อ่านข้อแนะนำที่ www.londontoolkit.com
Single ticket คือตั๋วเที่ยวเดียว คิดราคาตามโซนที่เดินทาง ราคาแพงคือโซน 1-3 ราคา 4.90 GBP
เช็คค่าโดยสารได้ที่ https://tfl.gov.uk
เช็คโซนต่างๆ ของ London ได้ที่ https://visitorshop.tfl.gov.uk
ดาวน์โหลดแผนที่รถไฟใต้ดินของ London ได้ที่ http://content.tfl.gov.uk

สำหรับผู้ที่อยู่ในลอนดอนเป็นเวลานาน Oyster cards เป็นตัวเลือกที่เหมาะสม
บัตรเติมเงินนี้มีหลายประเภท ได้แก่ Pay as you go, Bus & Tram Pass, Travelcard ใช้สำหรับโดยสารรถเมล์, รถไฟใต้ดิน, รถราง, Docklands Light Railway (DLR), รถไฟ London Overground, รถไฟของ National Rail ในเขตลอนดอน, TfL Rail, The Thames cable car (Emirates Air Line) และ River Bus
เลือกใช้แบบ Pay as you go ต้องแตะบัตรทั้งตอนขึ้นและลงรถ เงินก็จะถูกตัดตามโซนที่โดยสาร สามารถให้ผู้อื่นยืมบัตรไปใช้ได้ แต่ถ้าเดินทางพร้อมกันจะต้องมีบัตรกันคนละใบ
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ https://tfl.gov.uk
ซื้อ Oyster card และเติมเงินได้ที่สถานีรถไฟใต้ดินต่างๆ และอื่นๆ อีกมาก บัตรมีราคาตั้งแต่ 15-55 GBP แต่มีเงินคงเหลือในบัตรน้อยลง 5 GBP เป็นค่ามัดจำบัตร เมื่อเงินหมดก็สามารถเติมเงินเพิ่มได้ ถ้าจะใช้เดินทางจากสนามบิน Heathrow เข้าเมืองลอนดอนและใช้โดยสารรถในเมืองก็ควรซื้อขั้นต่ำ 20 GBP
ถ้าซื้อใน London จะได้เป็น Oyster card ธรรมดาซึ่งมีค่ามัดจำบัตร 5 GBP เมื่อคืนบัตรจะได้เงินคืน แต่ถ้าซื้อนอก London เช่น สนามบิน Heathrow จะได้เป็น Visitors Oyster card ซึ่งมีค่าเปิดบัตร (activation fee) 5 GBP ที่ไม่สามารถขอเงินคืนได้ และมีค่ามัดจำบัตร 5 GBP ที่สามารถได้เงินคืนเมื่อเลิกใช้บัตร
รายละเอียดที่ Oyster cards
เช็คค่าโดยสารได้ที่ https://tfl.gov.uk
Oyster Card และ Visitors Oyster card เหมาะสำหรับคนที่อยู่ในลอนดอนนานๆ และแต่ละวันใช้รถสาธารณะไม่เกิน 5 เที่ยว
ซื้อบัตรออนไลน์ได้ที่ https://visitorshop.tfl.gov.uk
ใช้ Oyster card จ่ายค่ารถถูกกว่าซื้อทีละเที่ยว ดูตารางเปรียบเทียบราคานี้
ข้อมูลจาก www.londontoolkit.com

เที่ยว London
เนื่องจากลอนดอนเป็นมหานครขนาดใหญ่ที่มีสถานที่สำคัญทั้งที่เป็นแลนด์มาร์คชื่อดังระดับโลก พระราชวังต่างๆ อาคารราชการสวยงาม โบสถ์ศักดิ์สิทธิ์ พิพิธภัณฑ์ สวนสาธารณะ ย่านช้อปปิ้ง ตลาด แหล่งสำหรับทำกิจกรรมต่างๆ รวมไปถึงสนามฟุตบอล
เราจึงขอคัดเลือกเฉพาะสถานที่ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักและจัดแบ่งโซนเที่ยวเป็น 2 วัน โดยเรียงลำดับสถานที่ตามช่วงเวลาที่ควรไป ดังนี้

วันแรก
เก็บไฮไลต์ทั่วลอนดอน
เริ่มต้นที่สถานีรถไฟใต้ดิน Paddington
ใช้ 1 Day Travelcard Zone 1-4 ราคา 13.10 GBP โดยสารรถไฟใต้ดินและรถสาธารณะอื่นๆ ได้ไม่จำกัดภายใน 1 วัน
นั่งรถไฟใต้ดินไปที่สถานี London Bridge
ขึ้นจากสถานีคือ The Shard หรือชื่อเดิมว่า London Bridge Tower ตึกระฟ้าความสูง 309.7 เมตรแห่งนี้เปิดอย่างเป็นทางการในเดือนก.ค. ปีค.ศ. 2012 ปัจจุบันยังคงเป็นตึกที่สูงที่สุดของกรุงลอนดอน
นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นไปยัง Top of The Shard ที่ชั้น 68, 69, 72 เพื่อชมมวิวจากจุดที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเมืองซึ่งจะเห็นแนวโค้งของแม่น้ำเทมส์และเมืองลอนดอนได้สุดลูกหูลูกตา เวลาขึ้นตึกแบ่งเป็นรอบ ทุก 30 นาที ตั้งแต่ 10.00-21.00 น. Standard Ticket สำหรับผู้ใหญ่ราคา 32 GBP ถ้าซื้อออนไลน์ล่วงหน้าราคาเริ่มต้น 24 GBP
ซื้อตั๋วออนไลน์ได้ที่ www.the-shard.com


เดินไปใต้สะพานรถไฟแล้วเลี้ยวซ้ายไปยัง Borough Market ตลาดขายอาหารและของสดเปิดทุกวัน ยกเว้นวันอาทิตย์ โดยในวันพุธ, พฤหัสบดี, เสาร์ เปิดเต็ม (Full Market) ตั้งแต่ 10.00-17.00 น. วันศุกร์เปิดถึง 18.00 น. วันเสาร์เปิด 08.00-17.00 น. ส่วนวันจันทร์และอังคาร เปิดไม่เต็ม บางร้านไม่เปิด เริ่มขายตั้งแต่ 10.00-17.00 น.



นั่งรถไฟใต้ดินสาย Jubilee (สีเทา) จากสถานี London Bridge 3 สถานีไปที่สถานี Westminster
ขึ้นจากสถานีก็ถึงหอนาฬิกา Big Ben ซึ่งตอนนี้กำลังซ่อมทั้งหมด อีกหลายปีกว่าจะเสร็จสมบูรณ์
Big Ben หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ Elizabeth Tower หอนาฬิกาสูง 96 เมตรแห่งนี้คือสัญลักษณ์สำคัญของกรุงลอนดอนและประเทศอังกฤษ
หอนาฬิกาบิ๊กเบนสร้างขึ้นหลังเหตุไฟไหม้พระราชวังเวสต์มินสเตอร์เมื่อปีค.ศ. 1834 ในสถาปัตยกรรมโกธิคสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรีย (Gothic Revival หรือ neo-Gothic) โดยการออกแบบของ Charles Barry ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 24 ปีจึงแล้วเสร็จสมบูรณ์เมื่อวันที่ 31 พ.ค. 1859
บิ๊กเบนคือหอนาฬิกาประจำพระราชวังเวสต์มินสเตอร์ (Palace of Westminster) ซึ่งเป็นที่ตั้งของรัฐสภาอังกฤษ ความจริงชื่อบิ๊กเบนเป็นชื่อของระฆัง 1 ใน 5 ใบซึ่งแขวนไว้ตรงช่องลมเหนือหน้าปัดนาฬิกา โดยบิ๊กเบนเป็นระฆังใบใหญ่ที่สุดซึ่งมีน้ำหนักถึง 13.76 ตันเลยทีเดียว ส่วนหน้าปัดนาฬิกานั้นมีขนาดใหญ่ที่สุดในโลกโดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 7 เมตร
ชื่อ Big Ben มาจากหัวหน้าคุมงานติดตั้งระฆังชื่อ Benjamin Hall ซึ่งเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่จนเพื่อนๆ เรียกว่า “บิ๊กเบน”
ส่วนชื่อ Elizabeth Tower ตั้งขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองพระราชพิธีพัชราภิเษกหรือพระราชพิธีมหามงคลฉลองสิริราชสมบัติครบ 60 พรรษาของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2
ข้าม Westminster Bridge ไปถ่ายรูปอาคารรัฐสภาและหอนาฬิกาบิ๊กเบนจากอีกฝั่งแม่น้ำ Thames


คนละฝั่งแม่น้ำเป็นที่ตั้งของ London Eye (Millennium Wheel) ชิงช้าสวรรค์ขนาดยักษ์ตั้งอยู่บนฝั่ง South Bank ของแม่น้ำเทมส์ เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในยุโรป มีความสูง 135 เมตร เส้นผ่านศูนย์กลาง 120 เมตร และสูงเป็นอันดับที่ 4 ของโลก เป็นรองแค่ High Roller ที่ Las Vegas (167.6 เมตร), Singapore Flyer ที่สิงคโปร์ (165 เมตร) และ Star of Nanchang ที่เมือง Nanchang ประเทศจีน (160 เมตร) แต่ยังคงได้รับตำแหน่งชิงช้าสวรรค์ที่ก่อสร้างด้วยโครงเหล็กค้ำข้างเดียวที่สูงที่สุดในโลก

นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นชิงช้าสวรรค์ไปชมวิวกรุงลอนดอนได้ โดยค่าตั๋วแบบ London Eye Standard Ticket สำหรับผู้ใหญ่ราคา 30 GBP ถ้าซื้อออนไลน์ล่วงหน้าราคา 27 GBP เพื่อหลีกเลี่ยงคิวยาวจึงควรซื้อตั๋วล่วงหน้าโดยเลือกวันและช่วงเวลาที่จะขึ้นชมซึ่งแบ่งเป็นรอบๆ ละ 15 นาที
เช็คเวลาให้บริการได้ที่ London Eye opening hours
อัพเดทราคาได้ที่ London Eye prices
มาลอนดอนคราวนี้เราใช้กระเป๋าสะพายของ pacsafe ที่ดีไซน์เรียบเท่แบบ urban look เหมาะกับการสะพายเดินในเมืองและมีตัวล็อคซิปหลักที่ช่วยป้องกันการล้วงกระเป๋าตอนอยู่ในที่ที่คนเยอะๆ เช่น รถไฟใต้ดินในเวลาเร่งด่วน ขนาดกำลังดี ไม่ใหญ่เทอะทะ แต่ใส่ของได้เยอะมาก ใส่ร่มได้เพราะลอนดอนฝนตกประจำ ข้างในมีช่องเล็กช่องน้อยเพียบ แถมกันน้ำได้ระดับหนึ่ง ฝนตกลงมาก็ไม่เปียกซึมเข้าไปข้างในกระเป๋าครับ
หาซื้อได้ที่ร้าน URBAN AKTIVE ชั้น 2 ศูนย์การค้าอัมรินทร์ พลาซ่า, สาขาเซ็นทรัลบางนา, ลาดพร้าว เซ็นทรัลเวิลด์ และร้าน pacsafe เซ็นทรัลพระราม 3 นะครับ


เดินกลับไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน Westminster เลยไปนิดก็เลี้ยวซ้ายไปทาง St Margaret’s Church เดินลัดสวน Parliament Square Garden ไปยังด้านหน้า Westminster Abbey โบสถ์เก่าแก่ที่เริ่มสร้างครั้งแรกในปีค.ศ. 960 และได้ต่อเติมเรื่อยมาจนถึงปีค.ศ. 1245 จึงมีลักษณะเหมือนในปัจจุบัน
โบสถ์โกธิคหอคอยคู่แห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีราชาภิเษกมาเเล้ว 38 ครั้ง พิธีอภิเษกสมรสอีก 26 ครั้ง และเป็นที่ฝังพระบรมศพของพระมหากษัตริย์อังกฤษ พระบรมวงศานุวงศ์ และร่างของบุคคลที่มีชื่อเสียงของชาติมากมายในระหว่างปีค.ศ. 1546-1556


นั่งรถไฟใต้ดินสาย Circle (สีเหลือง) / District (สีเขียว) จากสถานี Westminster 1 สถานีไปที่สถานี Embankment ต่อสาย Bakerloo (สีน้ำตาล) / Northern (สีดำ) 1 สถานีไปที่สถานี Charing Cross
ขึ้นจากสถานีเดินตาม Duncannon Street ผ่านโบสถ์ St Martin-in-the-Fields ไปยัง National Gallery พิพิธภัณฑ์ศิลปะที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1824 ที่ Trafalgar Square


พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เป็นสถานที่เก็บรักษาผลงานศิลปะอันทรงคุณค่าตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 13 จนถึงปีค.ศ. 1900 กว่า 2,300 ชิ้น เช่น ภาพวาด Venus and Mars ของ Sandro Botticelli, The Virgin and Child with St Anne and St John the Baptist ของ Leonardo da Vinci และ The Fighting Temeraire ของ Joseph Mallord William Turner
พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน 10.00-18.00 น. วันศุกร์เปิดถึง 21.00 น.
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit National Gallery


Trafalgar Square คือจัตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางลอนดอนที่ตั้งชื่อเพื่อเป็นอนุสรณ์ยุทธนาวีที่แหลม Trafalgar ซึ่งกองทัพเรืออังกฤษมีชัยเหนือฝรั่งเศสและสเปนในสงครามนโปเลียน
ตรงกลางจัตุรัสมี Nelson’s Column เสาคอลัมน์สูง 51.6 เมตรที่มีสิงโตปกป้องทั้ง 4 ทิศนี้สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พลเรือโท Horatio Nelson ผู้เสียชีวิตในยุทธนาวี Trafalgar เมื่อปีค.ศ. 1805

นั่งรถไฟใต้ดินสาย Bakerloo (สีน้ำตาล) จากสถานี Charing Cross ไปที่สถานี Piccadilly Circus ย่านช้อปปิ้งและเอ็นเตอร์เทนเมนต์อันคึกคัก


เดินตาม Coventry Street ไปเลี้ยวซ้ายเข้า Wardour Street หรือเดินตาม Shaftesbury Ave แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนน Wardour ก็ถึง China Town (ระยะทางราว 300 เมตร)
สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ China Town ที่สุดคือ Leicester Square

กลับมาลอนดอนอีกทีเพราะติดใจเป็ดย่างและหมูกรอบของร้าน Four Seasons ครับ 555



เดินเข้า Lisle Street ตรงประตูจีน ตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Leicester Square เลี้ยวซ้ายและขวาเข้า Great Newport Street ไปเลี้ยวซ้ายที่ห้าแยก เดินตรงตามถนน Upper St. Martin’s Lane แล้วตรงเข้าถนนทางซ้ายชื่อ Monmouth Street จนถึงวงเวียนหกแยกที่มีเสาคอลัมน์ Seven Dials ตรงผ่านเสาคอลัมน์เข้าถนน Monmouth เหมือนเดิม นิดเดียวก็เลี้ยวขวาเข้าซอยแคบๆ ใต้อาคารชื่อ Neal’s Yard (ระยะทางราว 700 เมตร)
Neal’s Yard คือย่านน่าสนใจซึ่งซ่อนตัวอยู่ใจกลางลอนดอนที่สร้างเพื่อเป็นสถานที่อันน่าจดจำของเมืองโดยตั้งชื่อเพื่อเป็นเกียรติให้กับ Thomas Neale สถาปนิกผู้พัฒนาพื้นที่นี้เมื่อศตวรรษที่ 17 ในบริเวณนี้รายล้อมด้วยอาคารหลากสีซึ่งเป็นร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่เพื่อสุขภาพมากมาย เช่น ร้าน Neal’s Yard Salad Bar
สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดคือ Covent Garden

เดินออกทางเดิมไปที่ถนน Monmouth เลี้ยวขวาตรงไปเข้า Shaftesbury Avenue โค้งขวาแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงตาม Bloombury Street ไม่ไกลก็เลี้ยวขวาเข้า GT. Russell Street ไปยัง British Museum (ระยะทางราว 550 เมตร)
British Museum พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของมนุษย์ที่สำคัญและใหญ่ที่สุดในโลกซึ่งมีพื้นที่ถึง 75,000 ตารางเมตร ก่อตั้งขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1753 และเปิดให้คนทั่วไปเข้าชมเป็นครั้งแรกในวันที่ 15 ม.ค. 1759 แรกเริ่มวัตถุที่เก็บรวบรวมไว้ส่วนใหญ่เป็นของสะสมของ Sir Hans Sloane แพทย์และนักวิทยาศาสตร์ชาวไอริช เวลาผ่านไปกว่า 2 ศตวรรษครึ่งพิพิธภัณฑ์ได้ขยายใหญ่ขึ้นจนกลายเป็นสถานที่เก็บรวบรวมวัตถุโบราณต่างๆ ทั่วโลกมากกว่า 8 ล้านชิ้นซึ่งล้วนมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมีการบันทึกเรื่องราวของวัฒนธรรมมนุษย์ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน เช่น รูปปั้นศักดิ์สิทธิ์จากอียิปต์
พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมฟรีทุกวัน 10.00-17.30 น. วันศุกร์เปิดถึง 20.30 น.
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit British Museum
สถานีรถไฟใต้ดินที่ใกล้ที่สุดคือ Tottenham Court Road



เดินประมาณ 450 เมตรไปสถานีรถไฟใต้ดิน Tottenham Court Road หรือ 500 เมตรไปสถานี Holborn ก็ได้
ออกจากพิพิธภัณฑ์ เดินไปทางขวาแล้วเลี้ยวซ้ายเข้า Museum Street ตรงไปจนถึงสี่แยกใหญ่ ข้ามถนนแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตาม New Oxford Street ตรงไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Holborn
นั่งรถไฟใต้ดินสาย Central (สีแดง) 2 สถานีไปที่สถานี St. Paul’s
เดินไปทางขวาไปยังด้านหน้า St. Paul Cathedral ซึ่งมีอนุสาวรีย์ของพระนางเจ้าวิคตอเรียตั้งอยู่

มหาวิหารเซนต์พอลคือโบสถ์คริสต์นิกายแองกลิคันเก่าแก่ที่สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปีค.ศ. 1256 บนเนิน Ludgate Hill ซึ่งเป็นจุดสูงสุดของเมืองลอนดอนเพื่ออุทิศแด่นักบุญเปาโล
400 ปีเศษต่อมา Sir Christopher Wren สถาปนิกชื่อดังได้เริ่มออกแบบและซ่อมแซมวิหาร กระทั่งปีค.ศ. 1666 ได้เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้ครั้งใหญ่ทำให้วิหารได้รับความเสียหายอย่างมาก โดยต้องใช้เวลาบูรณะใหม่ถึง 31 ปี 3 เดือนกว่าจะเสร็จสมบูรณ์เป็นวิหารหลังใหม่และเปิดใช้งานเมื่อปีค.ศ. 1697 ในศตวรรษที่ 17 วิหารใช้เป็นสถานที่ฝังศพของบุคคลสำคัญของอังกฤษและใช้จัดงานพระราชพิธีสำคัญๆ ของประเทศ
มหาวิหารสถาปัตยกรรมบาโรคแบบอังกฤษแห่งนี้ไม่เพียงแค่ภายนอกที่ยิ่งใหญ่อลังการจากโดมขนาดมหึมาเท่านั้น แต่การออกแบบตกแต่งภายในวิหารก็สวยงามวิจิตรไม่แพ้กัน ไม่ว่าจะเป็นแท่นบูชาหินอ่อนแกะสลัก ภาพวาดฝาผนัง ที่นั่งของนักร้องประสานเสียง
มหาวิหารเซนต์พอลเป็นโบสถ์ที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 2 ของอังกฤษ รองจาก Liverpool Cathedral ที่เมืองลิเวอร์พูล และเป็นสถานที่จัดพระราชพิธีอภิเษกสมรสของเจ้าฟ้าชายชาร์ลส์แห่งเวลส์กับเจ้าหญิงไดอาน่า
มหาวิหารเปิดให้เข้าชมวันจันทร์-เสาร์ 08.30-16.30 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไปราคา 20 GBP ถ้าซื้อออนไลน์ล่วงหน้าราคา 17 GBP
เข้าชมห้องโถงของวิหารและขึ้นบันได 259 ขั้นไปยังระเบียงจุดชมวิวด้านบนที่สูงประมาณ 111 เมตร ซึ่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามทั่วกรุงลอนดอน
อัพเดทข้อมูลได้ที่ visit St. Paul Cathedral
เดินตามถนนใหญ่ข้างมหาวิหารไปยังโดม เลี้ยวขวาเดินไปยัง Millennium Bridge ที่อยู่ข้างหน้า ถ่ายรูปจากสะพานกลับไปยังโดมของมหาวิหารเซนต์พอล (แต่ด้านข้างสะพานซ่อมอยู่จึงถ่ายรูปได้ไม่ค่อยสวย)

เดินกลับไปทางมหาวิหาร พอถึงถนนแรกก็เลี้ยวขวาเดินตรงตาม Queen Victoria Street ประมาณ 300 เมตรไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน Mansion House
นั่งรถไฟใต้ดินสาย Circle (สีเหลือง) / District (สีเขียว) 3 สถานีไปที่สถานี Tower Hill
ออกจากสถานีเดินไปยังทางเข้า Tower of London ป้อมปราการอันแข็งแกร่งกลางกรุงลอนดอนแห่งนี้สร้างมาตั้งเเต่ปีค.ศ. 1078 โดยพระเจ้าวิลเลียมที่ 1 ได้สร้างหอคอย White Tower ขึ้นมาก่อน ต่อมาจึงได้ทำการต่อเติมส่วนต่างๆ เรื่อยๆ จนขยายกว้างใหญ่เหมือนเช่นทุกวันนี้



ในยุคกลางหอคอยแห่งลอนดอนเป็นทั้งศูนย์กลางการเมืองการปกครองเเละการบัญชาการทางทหารของอังกฤษที่สำคัญมาก รวมทั้งเป็นที่คุมขังนักโทษที่มีชื่อเสียงโด่งดังอีกด้วย ปัจจุบันนั้นที่นี่กลายเป็นสถานที่เก็บรักษาสมบัติที่ประเมินค่าไม่ได้ของชาติมากมาย อาทิ Imperial State Crown มงกุฎของสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 และเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บสะสมอาวุธโบราณจำนวนมหาศาล เช่น ชุดเกราะของพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ที่นี่ถูกกล่าวขวัญเกี่ยวกับตำนานวิญญาณหลอนเพราะในอดีตหอคอย Bloody Tower เป็นที่คุมขังและประหารชีวิตนักโทษมากมาย จนกลายเป็นอีกสถานที่ที่บรรดานักล่าวิญญาณเเวะเวียนมาพิสูจน์กัน
หอคอยแห่งลอนดอนเปิดให้เข้าชมทุกวัน ระหว่างวันที่ 1 มี.ค.-31 ต.ค. วันอังคาร-เสาร์ 09.00-17.30 น., วันอาทิตย์และจันทร์เปิด 10.00-17.30 น., วันที่ 1 พ.ย.-28 ก.พ. วันอังคาร-เสาร์ 09.00-16.30 น., วันอาทิตย์และจันทร์เปิด 10.00-16.30 น. ต้องเข้าชมก่อนเวลาปิด 30 นาที วันที่ 24-26 ธ.ค. และ 1 ม.ค. ปิด
ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อายุ 18-59 ปี ราคา 24.70 GBP ถ้าซื้อออนไลน์
เช็ควันและเวลาเปิด-ปิดได้ที่ Tower of London opening hours
อัพเดทข้อมูลได้ที่ Tower of London entrance fee

เดินเลียบแม่น้ำเทมส์ไปยัง Tower Bridge หรือสะพานหอคอย ชื่อของสะพานมาจากที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับหอคอยแห่งลอนดอน (Tower of London) นั่นเอง


สะพานหอคอยโกธิคคู่ที่เชื่อมต่อกันด้วยทางเดินคู่ขนานด้านบนแห่งนี้สร้างข้ามแม่น้ำเทมส์ในระหว่างปีค.ศ. 1886-1894 โดยออกแบบให้เป็นสะพานยกและสะพานแขวนในสะพานเดียว สมัยก่อนใช้ระบบไฮดรอลิกกำลังไอน้ำในการยกสะพานให้เรือใหญ่สัญจรไปมาได้ แต่ตอนนี้เป็นการทำงานด้วยระบบไฟฟ้า
สะพานสัญลักษณ์กรุงลอนดอนมีความยาว 244 เมตร กว้าง 61 เมตร มีหอคอยสูง 65 เมตร แต่ละวันมีผู้คนสัญจรไปมามากกว่า 40,000 คน


ข้ามสะพานไปอีกฝั่งแม่น้ำ ลงสะพานเดินเลียบแม่น้ำผ่าน City Hall ระยะทางประมาณ 900 เมตรก็จะกลับไปที่ตึก The Shard และสถานีรถไฟใต้ดิน London Bridge อีกครั้ง


นั่งรถไฟใต้ดินสาย Jubilee (สีเทา) สถานีรถไฟใต้ดิน London Bridge หรือข้าม Tower Bridge เดินกลับไปขึ้นรถไฟใต้ดินจากสถานี Tower Hill กลับสถานี Paddington หรือไปที่อื่นในเมือง
ตอนมาลอนดอนครั้งแรกเราเคยไป Greenwich แล้ว ครั้งนี้เลยไม่ได้วางแผนจะไป
ถ้าจะไป Greenwich ควรไปตั้งแต่เช้าเป็นที่แรก โดยนั่งรถไฟใต้ดินและรถไฟไปลงที่สถานี Greenwich ทางตะวันออกเฉียงใต้ของกรุงลอนดอน
ออกจากสถานีเดินไปทางซ้ายแล้วเลี้ยวขวาที่สามแยกใหญ่ ตรงไปนิดก็เลี้ยวซ้ายเดินตาม Circus Street ตรงไปจนสุดถนนที่สวน โค้งขวาเดินเลียบรั้วสวนไปเลี้ยวขวาเดินไปสุดทาง ข้ามถนนเข้าประตูสวน Greenwich Park เดินแยกไปทางขวาแล้วตรงไปขึ้นเนินอีกประมาณ 5 นาทีก็จะถึง Royal Observatory Greenwich หอดูดาวแห่งกรีนิช (ระยะทางรวมประมาณ 1.1 กิโลเมตร)
เดินตาม Prime Meridian Line หรือเส้นเมริเดียนสากลคือเส้นเวลาแรกของโลก (Greenwich Mean Time) ที่ลองจิจูด 0°
สามารถเข้าชมได้ทุกวันตั้งแต่ 10.00-17.00 น. ค่าผ่านประตูสำหรับผู้ใหญ่อายุ 16 ปีขึ้นไปราคา 13.50 GBP (ซื้อออนไลน์)
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.rmg.co.uk
ไป Greenwich ได้หลายวิธี เช็ควิธีการเดินทางได้ที่ https://tfl.gov.uk
ค้างคืนแรกที่ London
วันที่ 2
เที่ยวสบายๆ สายช้อปปิ้ง

ซื้อ 1 Day Travelcard Zone 1-4 ราคา 13.10 GBP (ใช้เดินทางได้ทุกเวลา)
นั่งรถไฟใต้ดินสาย Hammersmith & City (สีชมพู) จากสถานี Paddington 3 สถานีไปที่สถานี Ladbroke Grove
ออกจากสถานีเดินไปทางขวา (ทางซ้ายมีสะพานรถไฟ) นิดเดียวก็เลี้ยวซ้ายเข้า Lancaster Road ตรงอีกราว 250 เมตรก็ถึงจุดตัดกับ Portobello Road
แถวนี้เรียกว่าย่าน Notting Hill


เลี้ยวขวาเดินตามถนน Portobello บริเวณนี้คือ Portobello Market ตลาดนัดขายของเก่าที่ใหญ่ที่สุดในโลกนี้เป็นแหล่งรวมสินค้าหลากหลายชนิดที่เดินเลือกกันจนเพลินได้ทั้งวัน
ตลาดเปิดตั้งแต่ 09.00 น. แต่ละวันขายสินค้าแตกต่างกันและเวลาปิดไม่ตรงกัน
เช็คข้อมูลได้ที่ www.portobelloroad.co.uk



เดินตามถนน Portobello ประมาณ 700 เมตรก็สุดเขตตลาด เลี้ยวขวาที่สี่แยกแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตรงยาวผ่านวงเวียนเล็กๆ เลี้ยวซ้ายที่สามแยกใหญ่ก็เห็นสถานีรถไฟใต้ดิน Notting Hill Gate (ระยะทางราว 600 เมตร)
นั่งรถไฟใต้ดินสาย Circle (สีเหลือง) / District (สีเขียว) 3 สถานีไปที่สถานี Kensington ต่อสาย Piccadilly (สีน้ำเงิน) 1 สถานีไปที่สถานี Knightsbridge
ขึ้นจากสถานีก็ถึง Harrods ห้างสรรพสินค้าชื่อดังของลอนดอน วันจันทร์-เสาร์เปิด 10.00-21.00 น. วันอาทิตย์เปิด 11.30-18.00 น.

นั่งรถไฟใต้ดินสาย Piccadilly (สีน้ำเงิน) จากสถานี Knightsbridge 1 สถานีไปที่ Hyde Park Corner หน้าทางเข้า Hyde Park สวนสาธารณะขนาดใหญ่ประจำเมืองลอนดอนซึ่งพระเจ้าเฮนรีที่ 8 ทรงโปรดให้สร้างเมื่อปีค.ศ. 1536

เดินผ่านประตู Wellington Arch ตรงตามถนนเข้าไปในบริเวณ Green Park

ตรงต่ออีกประมาณ 700 เมตรก็ถึง Buckingham Palace พระราชวังบัคกิงแฮมคือพระราชฐานที่ประทับอย่างเป็นทางการของพระราชวงศ์อังกฤษตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระราชินีนาถวิกตอเรียเมื่อปีค.ศ. 1837 จนถึงปัจจุบัน รวมทั้งใช้เป็นสถานที่รับรองแขกบ้านแขกเมืองและจัดงานของสำนักพระราชวัง
เดิมทีอาคารแห่งนี้คือ Buckingham House หรือคฤหาสน์บัคกิงแฮมที่สร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นบ้านพักของ John Sheffield ดยุคคนแรกแห่งบัคกิงแฮมเมื่อปีค.ศ. 1703 ต่อมาในปีค.ศ. 1761 พระเจ้าจอร์จที่ 3 ทรงซื้อคฤหาสน์นี้เพื่อใช้เป็นพระราชฐานส่วนพระองค์และพระราชินี Sophia Charlotte จึงรู้จักกันในชื่อ The Queen’s House หรือวังพระราชินี
75 ปีต่อมา John Nash และ Edward Blore สองสถาปนิกชาวอังกฤษได้ทำการขยายการต่อเติมครั้งใหญ่โดยเพิ่มปีกทั้ง 3 และลานกลางพระราชวังซึ่งแล้วเสร็จตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 บริเวณด้านหน้าของพระราชวังมี Victoria memorial ตั้งอยู่



โดยปกติ ทุกวันระหว่างเดือนเม.ย.-ก.ค. ในเวลาประมาณ 11 โมง (วันอาทิตย์จะเริ่มประมาณ 10.30 น.) จะมีพิธีผลัดเวรยามของทหารรักษาการณ์ของสมเด็จพระราชินีฯ ซึ่งเป็นประเพณีของราชวงศ์ที่สืบทอดต่อเนื่องมาเป็นเวลายาวนาน พิธีใช้เวลาประมาณ 30 นาที
สามารถเข้าชมบางส่วนพระราชวังได้ในบางช่วงของปี เช่น The State Rooms ห้องสาธารณะที่สมเด็จพระราชินีและราชวงศ์ใช้รับแขกซึ่งมีทั้งหมด 19 ห้อง
เวลาเปิด-ปิด 09.30-17.15 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อายุ 17 ปีขึ้นไปราคา 25 GBP
เช็คข้อมูลได้ที่ visit Buckingham Palace

เดินออกทางเดิม ข้ามถนนตรงเข้าไปใน Green Park เดินลัดสวนสาธารณะไปออกอีกทางหนึ่งแล้วเลี้ยวขวาไปก็เห็นสถานีรถไฟใต้ดิน Green Park (ระยะทางประมาณ 700 เมตร)
นั่งรถไฟใต้ดินสาย Jubilee (สีเทา) 1 สถานีไปที่สถานี Bond Street เดินช้อปที่ถนนช้อปปิ้งชื่อดัง Oxford Street

เดินประมาณ 500 เมตรไปสถานีรถไฟใต้ดิน Oxford Circus นั่งรถไฟใต้ดินกลับที่พัก
บินกลับกรุงเทพฯ จากสนามบิน Heathrow
เดินทางไปสนามบินโดยรถไฟด่วนพิเศษ Heathrow Express ใช้เวลาเพียง 15 นาที
(ซื้อตั๋วออนไลน์ล่วงหน้า 14 วัน ราคา 16.50 GBP, ล่วงหน้า 30 วัน ราคา 14.30 GBP)
ขากลับ ใช้สิทธิพิเศษจากบัตรทอง Royal Orchid Plus ของการบินไทยเข้าใช้เลานจ์ของสายการบินในกลุ่ม Star Alliance Gold ที่สนามบินต่างๆ ทั่วโลก
ที่สนามบิน Heathrow นี้เราใช้เลานจ์ของ United Airlines เลานจ์ดีมาก มีอาหารให้เลือกเยอะอยู่ มีห้องอาบน้ำด้วย อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าจะได้หลับบนเครื่องขากลับได้สบาย

21.25 น. สายการบินไทย เที่ยวบิน TG 917 ออกเดินทางกลับประเทศไทย
15.00 น. เดินทางถึงสนามบินสุวรรณภูมิโดยสวัสดิภาพ
ใช้เวลาเดินทาง11 ชั่วโมง 35 นาที
พูดถึงในแง่การของศึกษาสักหน่อย ลอนดอนนั้นเป็นที่ตั้งของมหาวิทยาลัยชั้นนำมากมาย เช่น University College London (UCL), Queen Mary, SOAS, University of the Arts London (UAL), Imperial College, LSE, หรือมหาวิทยาลัยสุดชิคอย่าง Brunel และ Kingston University ถัดออกไปชานเมืองหน่อยก็จะมี University of Surrey มหาวิทยาลัยที่เด่นทั้ง Business และ Engineering
เลยไปอีกหน่อยประมาณ 30 นาทีเมืองใกล้ๆ ก็จะมีมหาวิทยาลัย University of Reading ที่เป็นที่ตั้งของ ICAM Centre อันโด่งดัง เพื่อนๆ ที่สนใจเรียนต่อในลอนดอน แนะนำให้ติดต่อ BRIT – Education UK ได้ที่โทร 02-168-7890 หรือไลน์: @brit-ed ที่นี่จะดูแลเรื่องเรียนต่อ UK ประเทศเดียวนานกว่า 20 ปี สถาบันก่อตั้งโดยคุณ Gareth Baxter-Jones ซึ่งเป็นศิษย์เก่าจาก Oxford หรือถ้าพร้อมสมัครแล้ว สามารถพบกับตัวแทนจากมหาวิทยาลัยต่างๆของ UK ได้ในงานศึกษาต่ออังกฤษประจำปีที่ www.UK-University-Fair.com หรือทาง www.brit-ed.com/contact-us
*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต