เราตั้งใจมาเที่ยวออสเตรียเป็นครั้งที่ 4 เพื่อตามเก็บหลายเมืองทางตะวันตกที่ยังไม่เคยไป
สามครั้งแรกที่มาออสเตรียเราไม่เคยเดินทางไปทางตะวันตกของประเทศนี้เลย ไม่ขึ้นไปทางเหนือก็ไปทางตะวันออกทั้งนั้น ทั้งๆ ที่แถบรัฐ Tirol มีเมืองและหมู่บ้านเล็กๆ น่าเที่ยวมากมาย
คราวนี้ได้กลับมาแถวเยอรมันใต้อีกจึงจัดแผนเข้าไปเที่ยวออสเตรียตะวันตก 3 วันด้วยซะเลย โดยรีวิวตอนแรกนี้เรานั่งรถไฟจากสถานีรถไฟกลาง München Hbf เมืองมิวนิคของเยอรมัน แวะเดินเที่ยวเมืองแรกริมชายแดนชื่อว่า Kufstein แล้วนั่งรถไฟต่อเข้าไปเที่ยวชมเมือง Innsbruck และค้างคืนที่นั่น

เริ่มต้นอ่านรีวิวตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอนล่าสุด ตามนี้เลยครับ
เที่ยวเอง GERMANY กี่ครั้งก็ยังไม่พอ ตอนที่ 1 “Bamberg – Coburg” สองเมืองทางเลือกใหม่ในบาวาเรีย
เที่ยวเอง GERMANY กี่ครั้งก็ยังไม่พอ ตอนที่ 2 “Leipzig” ชีวิตชีวาแห่งเยอรมันตะวันออก
เที่ยวเอง GERMANY กี่ครั้งก็ยังไม่พอ ตอนที่ 3 “Dresden” เมืองเก่าแก่ที่สร้างใหม่ให้เหมือนเก่า
เที่ยวเอง GERMANY กี่ครั้งก็ยังไม่พอ ตอนที่ 4 “Basteibrucke – Bautzen” ทริปไปเช้าเย็นกลับจากดรีสเดน
เที่ยวเอง Poland รอบสอง..ต้องหาเมืองใหม่ๆ เที่ยว ตอนที่ 1 “Wroclaw – Lodz เมืองสีสันสวยสด กับ เมืองโมโนโทนของคนสายฮิป
เที่ยวเอง Poland รอบสอง..ต้องหาเมืองใหม่ๆ เที่ยว ตอนที่ 2 “Krakow – Katowice” พาชมสองเมืองต่างเสน่ห์ของโปแลนด์ใต้
เที่ยวเอง Czech อีกที..ต้องมีแตกต่าง ตอนที่ 1 “Mikulov – Brno – Telc” 3 เมืองสวยของเช็กที่คนไทยยังไม่ค่อยไป
เที่ยวเอง Czech อีกที..ต้องมีแตกต่าง ตอนที่ 2 “Prague” ใบไม้หลากสีที่กรุงปราก
เที่ยวเอง Czech อีกที..ต้องมีแตกต่าง ตอนที่ 3 “Karlovy Vary” เดินชมเมืองสวยแท้ จิบน้ำแร่ แช่สปา
เที่ยวเอง Czech อีกที..ต้องมีแตกต่าง ตอนที่ 4 “Cheb – Loket” เที่ยว 2 เมืองใกล้ๆ Karlovy Vary แบบไปเช้าเย็นกลับ
เที่ยวเอง GERMANY กี่ครั้งก็ยังไม่พอ ตอนที่ 5 “Regensburg” กลับสู่บาวาเรียเที่ยวเมืองมรดกโลกริมแม่น้ำดานูบ
ดูเส้นทางทั้งหมดของทริปจากแผนที่นี้นะครับ

วันที่ 16 ของทริป
ไป Kufstein
บัตรโดยสารรถไฟเยอรมันหรือ German Rail Pass แบบ Flexi 7 วัน ยังเหลืออีก 1 วัน เราจึงสามารถนั่งรถไฟฟรีจากเมืองอะไรก็ได้ของเยอรมันไปได้สุดทางถึงเมือง Kufstein หรือ Salzburg ของออสเตรีย (พาสแบบ Flexi ไม่ต้องใช้เดินทางต่อเนื่องทุกวัน ขึ้นรถไฟวันไหนก็จะนับวันเฉพาะวันที่ขึ้นเท่านั้น วันไหนไม่ได้นั่งรถไฟก็เก็บจำนวนวันไว้ใช้ต่อได้)
เราเลือกไปเมือง Kufstein เพราะเป็นทางผ่านไป Innsbruck และเคยไป Salzburg แล้ว
08.43 น. รถไฟขบวน M 79061 ออกจากสถานีรถไฟกลาง München Hbf นั่งรถไฟ 1 ชั่วโมง 15 นาทีก็ถึงสถานีรถไฟ Kufstein Bahnhof
(ปกติตั๋วรถไฟ München – Kufstein ราคา 23 ยูโร)
ค้นหาตารางเวลาและค่าตั๋วรถไฟเยอรมันได้ที่ www.bahn.com

ซื้อตั๋วรถไฟไป Innsbruck ใบละ 14 ยูโร ไว้ก่อนเลย เที่ยวเสร็จแล้วจะกลับมาขึ้นรถไฟเวลาไหนก็ได้
ในสถานีรถไฟไม่มีที่ฝากกระเป๋า เราจึงต้องลากกระเป๋าเดินเที่ยว แต่เมืองนี้เล็กมาก ระยะเดินจากสถานีรถไฟเข้ากลางเมืองและเดินกลับสถานีรถไฟแค่กิโลเดียวเอง เดินได้สบายครับ 55
Kufstein (คุฟชไตน์) คือเมืองใหญ่อันดับ 2 ของรัฐ Tirol (Tyrol) ทางตะวันตกของออสเตรีย ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Inn ติดชายแดนเยอรมัน ในเมืองยังคงหลงเหลือเขตเมืองเก่าที่คลาสสิกเหมือนย้อนไปในยุคกลางอีกครั้ง
ออกจากสถานีรถไฟ ตรงไปไม่กี่เมตรก็ถึงสะพาน Kufstein มองข้ามแม่น้ำ Inn ไปก็เห็น Festung Kufstein (Kufstein Fortress) อยู่บนเนินเขา


ป้อมปราการโบราณเหนือเขตเมืองซึ่งเป็นแลนด์มาร์คสำคัญของเมืองนี้อยู่สูงจากระดับน้ำทะเล 507 เมตร ถูกเอ่ยถึงครั้งแรกตั้งแต่ปีค.ศ. 1205 โดยอยู่ในความครอบครองของดยุค Ludwig แห่งบาวาเรีย ต่อมาในช่วงที่ดินแดนนี้เป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิออสโตร-ฮังกาเรียน สถานที่นี้เป็นคุกจองจำนักโทษการเมืองหลายคน จนกระทั่งปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ให้เข้าชมด้านใน โดยสามารถขึ้น Festungsbahn หรือรถรางไฟฟ้าจากถนน Kaiser Maximilian ในเมืองหรือเดินขึ้นบันไดไปก็ได้
ช่วงเดือนปลายมี.ค.-ต้นพ.ย. เปิดุกวันตั้งแต่ 09.00-18.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 12 ยูโร ต้นพ.ย.-ปลายมี.ค. (ฤดูหนาว) เปิดทุกวัน 10.00-17.00 น. ต้องเข้าชมก่อนเวลาปิด 1 ชั่วโมง ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 10.50 ยูโร
อัพเดทราคาและเวลาทำการได้ที่ visit Kufstein Fortress

เดินข้ามสะพานเข้าสู่ตัวเมืองคุฟชไตน์ ทางขวามือมีร้านอาหารดูดีชื่อ HANS IM GLÜCK เลยเข้าไปสั่งของกินเล่นและขอเค้าฝากกระเป๋าแป๊บนึง


อีกด้านหนึ่งของร้านคือ Römerhofgasse ถนนคนเดินสายหลักที่ขนาบด้วยบ้านเรือนเก่าแก่สไตล์ทิโรลสุดคลาสสิกซึ่งเปิดเป็นร้านค้าและร้านอาหารมากมาย


เดินกลับไปตรงถนนที่ตรงมาจากสะพานเลี้ยวขวาเดินตามถนนกลางเมืองชื่อ Unterer Stadtplatz ไปนิดก็เห็น Stadtgemeinde Kufstein (Town Hall of Kufstein) อาคารที่ว่าการเมืองในเขต Alstadt หรือเมืองเก่าอยู่ที่บริเวณ Stadtplatz ลานเล็กๆ ใจกลางเมือง และยอดโบสถ์ Pfarrkirche Kufstein-St. Vitus (Saint Vitus Church)


เดินไปยัง Pfarrkirche Kufstein-St. Vitus หรือ Pfarrkirche Sankt Vitus (Saint Vitus Church) โบสถ์เก่าแก่ที่สุดของเมืองที่สร้างขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1390-1420 ในสไตล์โกธิค ก่อนปรับเปลี่ยนเป็นสไตล์บาโรคในอีก 240 ปีให้หลัง
ข้างหลังโบสถ์คือ Festung Kufstein (Kufstein Fortress) ถ้าอยากขึ้นไปชมป้อมก็สามารถขึ้น Festungsbahn หรือรถรางไฟฟ้าไปได้

เดินตามถนนหลักเดิมอีกนิดก็สุดถนน ทางขวามือคืออีกด้านของที่ว่าการเมือง แถวนี้เป็นย่านช้อปปิ้งของเมือง

หมดเมืองแล้ว 555
เดินกลับไปเอากระเป๋าและข้ามสะพาน Kufstein ตรงกลับสถานีรถไฟ Kufstein Bahnhof


ไป Innsbruck
เราเที่ยวเสร็จทันรถไฟขบวน EC87 ซึ่งจะออกจากสถานีรถไฟ Kufstein Bahnhof ตอน 12.36 น. และไปจอดที่สถานีรถไฟกลาง Innsbruck Hbf ในเวลา 13.18 น.
เช็คเวลาและค่าตั๋วรถไฟออสเตรียได้ที่ Austria train

เราเลือกโรงแรมที่อยู่ตรงจุดเที่ยวจุดแรกของเมืองพอดี
ออกประตูกลางของสถานีรถไฟ ตรงเข้าถนน Salurner Straße เดินประมาณ 350 เมตรก็เห็น Triumphpforte (Triumphal Arch) หรือประตูเมืองที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1765 เพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสการอภิเษกสมรสของ Archduke Leopold กับ Maria Ludovica เจ้าหญิงสเปน

เช็คอินที่ Hotel Goldene Krone Innsbruck โรงแรมอยู่ตรงประตูชัยเลย ค่าห้องพักคืนนี้ 108 ยูโร



เดินเที่ยวชมเมือง Innsbruck
Innsbruck (อินน์สบรูก) คือเมืองหลวงของรัฐ Tirol (Tyrol) และเมืองใหญ่อันดับ 5 ของประเทศออสเตรีย เขตเมืองตั้งอยู่ในพื้นที่หุบเขาริมฝั่งแม่น้ำ Inn ทางตะวันตกของประเทศ โดยล้อมรอบด้วยแนวเทือกเขาแอลป์ทุกทิศทาง เมืองสีพาสเทลแห่งนี้ขึ้นชื่อเรื่องบรรยากาศสุดคลาสสิกของบ้านเมืองที่แนบแน่นกลมกลืนกับธรรมชาติและทิวเขา รวมทั้งเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับการเล่นสกีในช่วงฤดูหนาวเพราะมีสกีรีสอร์ทชื่อดังมากมายตั้งอยู่ไม่ไกลจากเมือง

ออกจากโรงแรม เดินไปทางซ้ายตามถนน Maria-Theresien-Straße ผ่านโบสถ์ Servitenkirche (Sankt Josef) ราว 350 เมตรก็ถึงอนุสาวรีย์สูงเด่นอยู่กลางถนน นั่นคือ Annasäule (St. Anne’s Column) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของแคว้นทิโรลที่สามารถป้องกันการรุกรานของแคว้นบาวาเรียได้สำเร็จในช่วงสงครามสเปน



ตรงไปอีกนิดเป็นจัตุรัสกว้างที่มีโบสถ์สีชมพูหวานแหววชื่อ Spitalskirche zum Heiligen Geist (Hospital Church of the Holy Spirit)


ตรงต่อเข้าสู่ Herzog-Friedrich-Straße ถนนคนเดินสายหลักของเมืองที่สองข้างทางเรียงรายด้วยร้านขายสินค้ามากมาย โดยเฉพาะจิวเวลรี่และเครื่องประดับ


สุดถนนคือ Goldenes Dachl (Golden Roof) อาคารสัญลักษณ์สำคัญในเขตเมืองเก่าที่สร้างโดยจักรพรรดิ Friedrich ที่ 4 ในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 สำหรับเป็นที่ประทับของผู้ปกครองแคว้นทิโรล ต่อมาจักรพรรดิ Maximilian ได้ทรงปรับเปลี่ยนให้เป็นสไตล์โกธิคผสมบาโรคและทรงตกแต่งส่วนของหลังคาที่ยื่นออกมาจากระเบียงด้วยทองคำแท้จำนวน 2,738 แผ่นเพื่อใช้เป็นที่ทอดพระเนตรการแข่งขันหรือเทศกาลต่างๆ ที่จัดขึ้นบริเวณด้านหน้าที่ประทับ ส่วนด้านหน้าใช้การตกแต่งด้วยภาพวาดของศิลปินชื่อดังหลายคนในยุคนั้นเพื่อสื่อถึงความยิ่งใหญ่ของแคว้นทิโรล ปัจจุบันกลายเป็นสำนักงานการประชุมอัลไพน์นานาชาติ


วันที่เรามาถึงตรงกับวันพิธีเปิดไฟต้นคริสต์มาสพอดี ตลาดคริสต์มาส Christkindlmarkt am Goldenen Dachl ก็เริ่มคึกคักกันแล้ว ตลาดคริสต์มาสที่นี่จะเริ่มจัดตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ย. ของทุกปี


ก่อนถึง Goldenes Dachl มีหอคอยสูง 51 เมตรอยู่ทางขวามือคือ Stadtturm (City Tower) ของ Altes Rathaus (Old Town Hall) หรือ Historisches Rathaus (Historic Town Hall) ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปีค.ศ. 1450 ส่วนอาคารที่ว่าการเมืองหลังเก่านั้นสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1358 ภายหลังได้รับความเสียหายอย่างหนักจากแผ่นดินไหวและไฟไหม้ จนกระทั่งปีค.ศ. 1897 ทางการจึงเปลี่ยนที่ว่าการเมืองไปยังที่ใหม่
นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นบันได 133 ขั้นไปชมวิวจากจุดชมวิวบนหอคอยได้ทุกวันในเดือนมิ.ย.-ก.ย. 10.00-20.00 น., ต.ค.-พ.ค. 10.00-17.00 น. ค่าขึ้นชม 3 ยูโร
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit Innsbruck City Tower

หันหน้าเข้าหา Goldenes Dachl เดินไปทางขวาแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตามถนน Pfarrgasse ไปยัง Dom zu St. Jakob (Cathedral of St. James) หรือ Innsbruck Cathedral มหาวิหารประจำเมืองสไตล์บาโรคที่โดดเด่นด้วยหอคอยคู่ตั้งตระหง่านอยู่กลางเขตเมืองเก่านี้ออกแบบโดย Johann Jakob Herkommer สถาปนิกชื่อดัง ต่อมาได้รับการตกแต่งเพิ่มเติมโดยพี่น้องตระกูล Asam ซึ่งผสมความเป็นโกธิคเข้าไป โดยภายในโบสถ์ประดับประดาด้วยภาพวาดฝาผนังของศิลปินชื่อดังชาวเยอรมัน Lucas Cranach


หันหน้าไปทางโบสถ์ เดินเข้าถนนแคบๆ ด้านข้างโบสถ์ทางขวามือไปยังทางเข้าด้านหลัง Hofburg (Imperial Palace) พระราชวังหลวงที่สร้างโดยจักรพรรดิ Siegmund ในช่วงปีค.ศ. 1460 ในสไตล์โกธิค ต่อมาถูกสร้างใหม่เพิ่มเติมให้เป็นสไตล์บาโรคโดยมีรายละเอียดบางอย่างเป็นสไตล์รอคโคโคในระหว่างปีค.ศ. 1754-1773 โดยจักรพรรดินี Maria Theresa
พระราชวังประกอบไปด้วยห้องทั้งหมด 25 ห้อง มีห้องโถงตรงกลางซึ่งตกแต่งด้วยโทนสีขาวและทอง ประดับฝาผนังด้วยรูปภาพของราชวงศ์ฮับส์บวร์ก ด้านนอกอาคารพระราชวังตกแต่งด้วยสวนดอกไม้ขนาดย่อม
พิพิธภัณฑ์เปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่ 09.00-17.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 9 ยูโร
อัพเดทข้อมูลได้ที่ visit Hofburg
ตรงเข้าประตูเล็กๆ ทะลุออกไปที่ถนน Rennweg ตรงนี้คือทางเข้าหลักของ Museum Hofburg

ออกจากประตูเดินไปทางขวาลอดโค้งประตู Burggraben แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Museumstraße อีก 200 เมตรก็ถึง Tiroler Landesmuseum (Tyrolean State Museum) พิพิธภัณฑ์ที่รู้จักกันอีกชื่อว่า Ferdinandeum ซึ่งนำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดของแคว้น Tirol

เดินกลับไปที่ประตู Burggraben ลอดประตูไปแล้วเลี้ยวซ้ายลอดประตูของถนน Hofgasse ตรงกลับไปที่ Goldenes Dachl (Golden Roof)


เดินตรงผ่านไปเข้าถนน Herzog-Friedrich-Straße ไม่ไกลก็ถึงริมแม่น้ำ Inn แวะถ่ายรูปบ้านเรือนสีพาสเทลที่เรียงรายขนาบตามแนวแม่น้ำโดยมีฉากหลังเป็นเทือกเขาแอลป์อันงดงามจาก Innbrücke (Inn Bridge) สะพานข้ามแม่น้ำอินน์ที่สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ที่เป็นที่มาของชื่อเมือง Innsbruck ซึ่งแปลว่า “สะพานข้ามแม่น้ำ Inn” นั่นเอง



เดินเข้าไปยัง Marktplatz ริมแม่น้ำซึ่งช่วงนี้เป็นตลาดคริสต์มาสใหญ่ พ่อแม่พาลูกจูงหลานมาเดินเล่นหาซื้อของเพียบเลยครับ



เดินหามุมถ่ายรูปสวยๆ ริมแม่น้ำไปเรื่อยๆ



จากนั้นเดินกลับทางเดิมไปยัง Goldenes Dachl ซึ่งกำลังจะถึงเวลาพิธีเปิดไฟต้นคริสต์มาสพอดี ยืนรอชมไปพร้อมๆ กับชาวเมืองอินน์สบรูกเลยครับ



เดินผ่านหอคอย Stadtturm หาร้านอาหารสำหรับมื้อเย็นแถวถนน Herzog-Friedrich-Straße แล้วเดินผ่าน Annasäule (St. Anne’s Column) ตามเส้นทางเดิมตรงกลับโรงแรม
ค้างคืนที่ Innsbruck 1 คืน

ข้อมูลเพิ่มเติม
ออกนอกเมือง Innsbruck ไปไม่ไกลมีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจ คือ
Schloss Ambras (Ambras Castle) พระราชวังที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดยจักรพรรดิ Ferdinand ที่ 2 แห่งออสเตรียแห่งนี้เป็นที่ประทับที่พระองค์ทรงโปรดปรานมากที่สุด พระราชวังแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนบนกับส่วนล่าง ส่วนบนเป็นสถานที่เก็บรวบรวมภาพเหมือนของราชวงศ์ฮับส์บวร์กและผลงานศิลปะของศิลปินชื่อดัง เช่น Lukas Cranach, Anton Mor, Tizian, Van Dyck และ Diego Velásquez เป็นต้น สำหรับส่วนล่างนั้นเป็นพิพิธภัณฑ์ที่เก็บสิ่งของหลากหลายที่ได้มาจากการขยายอาณาจักรในยุคเริ่มต้นของแคว้นทิโรล เช่น อาวุธ หนังสือ ปะการัง งาช้าง เขาสัตว์ เป็นต้น
พิพิธภัณฑ์เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 10.00-17.00 น. ในเดือนส.ค. เปิดถึง 18.00 น. แต่ปิดในเดือนพ.ย. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 8 ยูโร
วิธีการเดินทาง: ขึ้นรถเมล์สาย 4134 จากป้าย Innsbruck Hbf Busbahnhof Steig D (ออกจากสถานีรถไฟกลาง Innsbruck Hbf เดินไปทางซ้าย) ไปลงที่ป้าย Innsbruck Schloss Ambras (4 ป้าย) แล้วเดินไปยังปราสาทพระราชวัง ตั๋วรถเมล์แบบ Single Ticket ราคา 2.40 ยูโร
อัพเดทข้อมูลรถสาธารณะของ Innsbruck ได้ที่ Innsbruck transportation

Swarovski Kristallwelten (Swarovski Crystal Worlds) ศูนย์รวมผลงานและผลิตภัณฑ์ของเครื่องประดับคริสตัลอันเลื่องชื่อของโลกซึ่งมีต้นกำเนิดที่เมืองอินน์สบรูกแห่งนี้ ย้อนไปเมื่อปีค.ศ. 1995 เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีของการก่อตั้งและเพื่อจุดกระแสความนิยมคริสตัล ชวารอฟสกี้จึงได้สร้างอาณาจักรคริสตัลนี้ขึ้นมาโดยออกแบบให้มีความหรูหราอลังการตามแบบฉบับของเครื่องประดับราคาแพง
ผู้สนใจสามารถเข้าชมและเลือกซื้อสินค้าได้ทุกวัน ช่วงเดือนก.ย.-มิ.ย. ตั้งแต่ 08.30-19.30 น. เดือนก.ค.-ส.ค. เปิดถึง 22.00 น. ต้องเข้าชมก่อนเวลาปิด 1 ชั่วโมง ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 19 ยูโร
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit Swarovski Crystal Worlds
วิธีการเดินทาง: นั่งรถไฟไปที่เมือง Hall in Tirol แล้วขึ้นรถเมล์สาย 4123 ไปลงที่ป้าย Wattens Kristallwelten (14 ป้าย)

*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต