เที่ยวภาคกลางของเยอรมันที่คนไทยไม่ค่อยไปกัน
ส่วนใหญ่แล้วคนไทยที่มาเที่ยวเยอรมันมักจะเลือกไปเมืองทางใต้ในรัฐบาวาเรียอย่าง Munich, Neuschwanstein Castle, Rothenburg ob der Tauber และเมืองรอบๆ แถบนั้น หรือไม่ก็ไปทางตะวันออก เช่น Berlin, Dresden แต่ไม่ค่อยมีใครเลือกไปเที่ยวเมืองตอนกลางของเยอรมันเท่าไหร่ เพราะฉะนั้น “เที่ยวเอง” จึงอยากพาทุกคนไปรู้จักเมืองแปลกใหม่ในรัฐ Hesse ตรงกลางประเทศเยอรมันซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Frankfurt นัก นั่นคือ Kassel และ Marburg แถมเมืองครึ่งทางอย่าง Bad Wildungen อีกหนึ่งเมืองด้วย

Kassel คือเมืองใหญ่ริมฝั่งแม่น้ำ Fulda ทางตอนเหนือของรัฐ Hesse ในอดีตเคยเป็นเมืองหลวงของรัฐ
คาสเซลมีสถานีรถไฟหลัก 2 สถานีคือ Kassel Hauptbahnhof สำหรับโดยสารรถไฟท้องถิ่น และ Kassel-Wilhelmshöhe ซึ่งเป็นสถานีรถไฟความเร็วสูง ICE มีตู้ฝากกระเป๋าครับ
ค้นหาตารางเวลาและค่าตั๋วรถไฟเยอรมันได้ที่ www.bahn.com
เรานั่งรถไฟด่วน ICE มาเริ่มต้นที่สถานีรถไฟ Kassel-Wilhelmshöhe ซึ่งอยู่ตรงกลางระหว่างตัวเมือง Kassel กับสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังของเมืองคือ Bergpark Wilhelmshöhe ทางทิศตะวันตกของเมือง
ในเขตศูนย์กลางเมือง Kassel มีที่เที่ยวแค่อาคาร Orangerie ซึ่ง Landgrafschaft (Landgrave) หรือขุนนางผู้ปกครองเมืองนามว่า Karl von Hessen-Kassel สร้างขึ้นเพื่อเป็นบ้านพักในฤดูร้อน และพิพิธภัณฑ์ต่างๆ

จากสถานีรถไฟ Kassel-Wilhelmshöhe ถ้าจะเข้าตัวเมือง Kassel ด้วย แนะนำให้ซื้อตั๋ว 24 ชั่วโมง (24 Stunden) หรือตั๋ว MultiTicket ราคาสำหรับ 2-5 คน 7.50 ยูโร ที่ห้องขายตั๋วรถไฟของ DB ป้ายสีแดง (ตั๋วสำหรับ 1 คน 6 ยูโร) แต่ถ้าจะไปแค่ Bergpark Wilhelmshöhe ก็ซื้อตั๋วรถรางจากตู้ขายตั๋วซึ่งใช้ต่อรถเมล์ได้ด้วย ค่ารถรางแบบ single ticket (Short-haul ไม่เกิน 4 ป้าย หรือ 3 กิโลเมตร) ราคา 1.70 ยูโร (ไม่แน่ใจว่าถ้าไป 3-5 คน ซื้อตั๋วแบบไหนถูกกว่า ลองสอบถามที่ Tourist- & Kurinformation ในสถานีรถไฟได้เลย) ไม่จำเป็นต้องซื้อ KasselCard 24 ชั่วโมงสำหรับ 2 คน ราคา 9 ยูโร ถ้าไม่ได้อยากเข้าพิพิธภัณฑ์ต่างๆ เพราะจะได้แค่ส่วนลดค่าเข้าเท่านั้น
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ Kassel transportation

นั่งรถรางสาย 1 จากป้ายฝั่งใกล้สถานีรถไฟเข้าตัวเมือง Kassel ไปลงที่ป้าย Rathaus/Fünffensterstraße ใกล้ Bürgerbüro Kassel หรือที่ทำการเมืองคาสเซล

เดินไปที่ Karlsplatz ทางด้านหลังที่ทำการเมือง เลี้ยวขวาเข้าถนน Hugenottenstraße ตรงเข้าไปในสวน เดินลัดสวนไปทางซ้ายอีกไม่ไกลก็เห็นอาคารสีเหลืองของ Orangerie (ระยะทางราว 1 กม.)


ไป Bergpark Wilhelmshöhe
นั่งรถรางสาย 1 จากป้าย Rathaus/Fünffensterstraße เหมือนเดิม แต่ขึ้นฝั่งตรงข้ามกับตอนลง รถรางสายนี้จะย้อนกลับไปที่สถานีรถไฟ Kassel-Wilhelmshöhe และเลยต่อไปสุดทางที่ป้าย Wilhelmshöhe (Park) ใกล้ทางเข้า Bergpark Wilhelmshöhe ห่างจาก Schloss Wilhelmshöhe (Wilhelmshöhe Palace) ประมาณ 700 เมตร
ห่างจากป้าย Rathaus/Fünffensterstraße 350 เมตร มีป้ายรถรางสาย 4 (ไม่แน่ใจว่าชื่อป้าย Ständeplatz หรือ Wilhelmsstraße) สามารถนั่งยาวจากตัวเมือง Kassel ไปลงสุดทางแล้วต่อรถเมล์สาย 22, 23 ขึ้นเขาไปยังจุดสูงสุดของสวนได้เลย
เราเลือกวิธีการชัวร์ๆ ไม่หลงแน่นอนคือนั่งรถรางสาย 1 กลับไปลงที่สถานีรถไฟ Kassel-Wilhelmshöhe ต่อรถรางสาย 4 ตรงป้ายฝั่งที่ลง (ฝั่งหันหน้าเข้าหาสถานีรถไฟ) ไปจนสุดทาง ขึ้นรถเมล์สาย 22, 23 ไปยังจุดสูงสุดของ Bergpark Wilhelmshöhe
อ่านข้อมูลวิธีการเดินทางต่างๆ ได้ที่ Getting to Bergpark Wilhelmshohe
Bergpark Wilhelmshöhe คือสวนสาธารณะขนาดใหญ่บนเนินเขา Karlsberg ที่เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1689 โดยอยู่ในความครอบครองของขุนนาง Landgraves of Hesse-Kassel ยาวนานกว่า 150 ปี สวนซึ่งเป็นมรดกโลกขององค์การ UNESCO เมื่อปีค.ศ. 2013 แห่งนี้มีพื้นที่รวมทั้งหมดถึง 2.4 ตารางกิโลเมตร นับเป็นสวนสาธารณะบนเนินเขาที่ใหญ่ที่สุดในยุโรปและใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก
เดินอีกนิดก็ถึงด้านหลังของ Herkules monument อาคารแปดเหลี่ยมสถาปัตยกรรมแบบบาโรคที่สร้างขึ้นในปีค.ศ. 1701 โดย Giovanni Francesco Guerniero ศิลปินชาวอิตาเลียนที่ระดับความสูง 526 เมตรบนจุดสูงสุดของสวน ตรงยอดอาคารมีอนุสาวรีย์ของ Hercules เทพเจ้ากรีกทำจากทองแดงสูง 8.25 เมตรเป็นสัญลักษณ์โดดเด่น


จุดนี้อยู่ไกลจาก Schloss Wilhelmshöhe (Wilhelmshöhe Palace) 2 กิโล ถ้านั่งรถรางสาย 1 มาลงที่ทางเข้าสวนด้านล่างจะต้องเดินขึ้นเขาประมาณ 1 ชั่วโมง หรือขึ้น Museumslandschaft Hessen Kassel shuttle bus ที่ออกทุก 15-20 นาทีไปลงที่ร้านอาหาร Kaskadenwirtschaft Grischäfer ค่ารถ 2 ยูโร แล้วขึ้นบันไดอีกราว 500 เมตร
แนะนำให้นั่งรถรางสาย 4 ไปต่อรถเมล์สาย 22, 23 แบบเราดีกว่า แล้วค่อยเดินลงไปยัง Schloss Wilhelmshöhe (Wilhelmshöhe Palace) ด้านล่าง ขากลับสถานีรถไฟ Kassel-Wilhelmshöhe ค่อยนั่งรถรางสาย 1 จากป้าย Wilhelmshöhe (Park)
จาก Herkules monument เดินลงบันไดกว่า 200 ขั้นไปยังจุดถ่ายรูป Neptungrotte ดักรอเวลาน้ำตกจำลองที่จะค่อยๆ ไหลตามทางน้ำที่เรียกว่า Wasserspiele (watergames) ลงสู่สระน้ำด้านล่างก่อนไหลต่อลงทะเลสาบหน้าวัง Wilhelmshöhe
โชว์น้ำตกนี้มีเฉพาะวันพุธ วันอาทิตย์ และวันหยุดราชการ เวลา 14.30 น. ในช่วงเดือนพ.ค. – ต้นต.ค. ที่พิเศษคือทุกวันเสาร์แรกของเดือนมิ.ย.-ก.ย. จะมีการแสดงแสงสีประกอบน้ำตกจำลองแห่งนี้ให้ชมกันด้วย ใช้เวลา 20 นาทีน้ำตกก็ไหลลงสระน้ำหมดแล้ว



เดินไปทางร้านอาหาร Kaskadenwirtschaft Grischäfer ตรงตามป้ายบอกทางไป Wasserfall ที่นี่นักท่องเที่ยวฝรั่งเยอะมากครับ เดินตามฝูงชนไปไม่นานก็เห็น Steinhöfer Wasserfall (จุดนี้จะมีน้ำตอน 15.05 น.)

ถ้าเดินลงเขาอีกราว 500 เมตรก็จะถึง Löwenburg (Lions Castle) ปราสาทโบราณที่สร้างขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1793-1801 ตามคำสั่งการของพระเจ้า Wilhelm ที่ 1 แห่ง Hesse โดยออกแบบให้คล้ายกับปราสาทของอัศวินในช่วงยุคกลาง แม้ภายนอกปราสาทจะผุพังไปบางส่วนตามกาลเวลา แต่ด้านในที่ตกแต่งในสไตล์บาโรคนั้นยังได้ชื่อว่างดงามไม่เปลี่ยน
แต่ตอนนี้ปราสาทซ่อมอยู่จึงไม่มีใครเดินไป (จริงๆ มองจากวัง Wilhelmshöhe ขึ้นไปบนเขาก็เห็นแล้ว)
เดินลงเขาอีกทาง (ไปทางซ้าย) ถ้าไม่แน่ใจเส้นทางดู google map ช่วยได้ ในสวนมีสัญญาณอินเตอร์เน็ตครับ ไม่ไกลก็ถึง Teufelsbrücke (Devil’s Bridge) สะพานสั้นๆ เหนือน้ำตกที่เกิดจากการไหลลงของน้ำจาก Herkules monument นั่นเอง (จุดนี้จะมีน้ำตอน 15.20 น.)

เดินลงเขาไปทาง Schloss Wilhelmshöhe (Wilhelmshöhe Palace) ก่อนถึงวังมีทะเลสาบเล็กๆ ที่มีโชว์น้ำพุตอน 15.45 น. ตรงนี้เรียกว่า Große Fontäne (Grand Fountain)

เดินต่อไปจนถึงอาคารด้านล่างสุดของสวน นั่นคือ Schloss Wilhelmshöhe (Wilhelmshöhe Palace) พระราชวังสถาปัตยกรรมสไตล์นีโอคลาสสิกที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นที่ประทับของพระเจ้า Wilhelm ที่ 1 แห่ง Hesse ในช่วงปลายศตวรรษที่ 18 ต่อมาจักรพรรดิ Wilhelm ที่ 2 ได้ใช้เป็นพระราชวังฤดูร้อน ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์งานศิลปะที่รวบรวมผลงานอันทรงคุณค่าไว้มากมาย

ถ้านั่งรถรางสาย 1 แล้วเดินมาที่นี่ก่อนจะต้องเดินประมาณ 1 ชั่วโมงขึ้นเขาไปยัง Herkules monument บนนู้นครับ ไกลลิบๆ เลย
เดินออกไปอีกด้านของวัง Wilhelmshöhe เลี้ยวซ้ายเดินลงตามทางจนถึงถนนใหญ่ก็เลี้ยวขวาไปขึ้นรถรางสาย 1 ที่ป้าย Wilhelmshöhe (Park) ระยะทางประมาณ 700 เมตร นั่งรถรางกลับเข้าเมืองไปลงที่สถานีรถไฟ Kassel-Wilhelmshöhe
ไป Bad Wildungen
ที่พักของเราอยู่ที่เมืองเล็กๆ Bad Wildungen ห่างจาก Kassel ประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง สามารถเดินทางไปโดยรถไฟจากสถานี Kassel-Wilhelmshöhe ใช้เวลา 1 ชั่วโมงนิดๆ และรถเมล์สาย 500 ค่าตั๋วเท่ากันคือคนละ 9.70 ยูโร แต่รถเมล์ช้ากว่าประมาณ 15 นาทีเพราะแวะจอดรับผู้โดยสารตามเมืองและหมู่บ้านต่างๆ เพียบ
ค้นหาตารางเวลารถไฟและรถเมล์ได้ที่ www.bahn.com

สถานีรถไฟและท่ารถเมล์ Bad Wildungen คือที่เดียวกัน อยู่ทางทิศตะวันออกของตัวเมือง (Altstadt) ซึ่งอยู่บนเนินเขาห่างออกไปประมาณ 1 กิโล และห่างจากที่พักของเราคือ Maritim Hotel Bad Wildungen 2.5 กิโลเมตร

นั่งรถเมล์สาย 1 (วันจันทร์-ศุกร์มีรถทุก 30 นาที เหมือนหลังทุ่มนึงไม่มีรถ วันเสาร์-อาทิตย์รถน้อยกว่าวันธรรมดา) รถเมล์แล่นผ่านตัวเมืองเลยออกนอกเมืองไปหน่อยแล้วลงที่ป้าย Fürstenhof ก่อนถึงอาคารอลังการ Asklepios Fachklinik Fürstenhof ไม่รู้ค่ารถครับ คนขับไม่คิดตังค์เรา 55

เดินตามป้ายชี้บอกทางอีก 5 นาทีก็ถึงโรงแรม

เราได้ห้องสุดทางเดินเลย มองจากห้องไปก็เห็น Schloss Friedrichstein (Friedrichstein Castle) อยู่บนเขาไกลๆ แล้ว

ห้องพักของเราสวยงามประมาณนี้


โรงแรมมีสระว่ายน้ำด้วย

คืนนี้ค้างที่ Bad Wildungen
วันรุ่งขึ้น
แฮฟเบรคฟาสต์ในสวนอันร่มรื่นก่อน 🙂

ช่วงเช้า เดินตามถนนหลักทางเข้าเมืองชื่อ Brunnenalle ตรงต่อเข้าถนน Brunnenstraße ไปเดินเล่นในตัวเมือง Bad Wildungen ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมประมาณ 1.5 กม. (นั่งรถเมล์สาย 1 เข้าเมืองก็ได้)

Bad Wildungen (บาด วิลดุงเงน) เมืองเล็กๆ ในรัฐ Hesse นี้มีชื่อเสียงจากการเป็นแหล่งทำสปาสำคัญมาตั้งแต่อดีต ในเขตเมืองเต็มไปด้วยบ้านเรือนสไตล์ half-timbered น่ารักๆ มากมาย
ถนนหลักใน Altstadt หรือเมืองเก่ามีเส้นเดียวคือ Brunnenstraße เดินไปนิดเดียวก็ถึง Evangelische Stadtkirche Bad Wildungen (Stadtkirche) หรือ Saint Nikolaus parish church in Bad Wildungen โบสถ์หลักประจำเมือง
เลยไปนิดคือ Am Markt ลานน้ำพุหน้า Stadt Bad Wildungen อาคารที่ทำการเมือง


ตรงตามถนน Brunnenstraße อีกไม่กี่นาทีก็ออกนอกเขตเมืองเก่าทางทิศตะวันออก


ดูเส้นทางเดินลงเขาใน google map ไปสถานีรถไฟ Bad Wildungen (ระยะทางราว 800 เมตร)
ไป Marburg
Marburg (มาร์บวร์ก) คือเมืองมหาวิทยาลัยในรัฐ Hessen อยู่ห่างจาก Bad Wildungen ทางรถไฟประมาณ 1 ชั่วโมงครึ่ง (ต้องเปลี่ยนรถไฟที่สถานี Wabern) และห่างจาก Frankfurt ไม่ถึง 100 กม.
ค้นหาตารางเวลาและค่าตั๋วรถไฟเยอรมันได้ที่ www.bahn.com
ตัวเมืองเหมือนมี 2 ชั้น คือ เมืองเก่าที่อยู่บนเนินเขาเรียกว่า Oberstadt กับเมืองด้านล่างริมฝั่งแม่น้ำ Lahn ซึ่งไม่มีจุดท่องเที่ยวแต่เป็นจุดถ่ายรูปที่เห็นภาพรวมๆ ของเมืองได้ดีโดยไม่ใช้โดรน

แนะนำให้ซื้อ Hessenticket คือตั๋ววันใช้โดยสารรถไฟระหว่างเมืองต่างๆ ในรัฐ Hessen ได้ไม่จำกัด ยกเว้นรถไฟด่วนพิเศษขบวน ICE และใช้ขึ้นรถเมล์ภายในเมืองต่างๆ ได้ด้วย เราไปกัน 2 คน ค่าตั๋วราคา 36 ยูโร แค่นั่งรถไฟเที่ยวเดียวก็คุ้มแล้วครับ
อัพเดทราคาได้ที่ fahrkarten.bahn.de
ครึ่งวันบ่าย เดินเที่ยวชมเมือง Marburg
เริ่มต้นที่สถานีรถไฟ Marburg (Lahn) ซึ่งอยู่ทางฝั่งขวาของแม่น้ำ เหนือเลยแผนที่ข้างบนไปอีกนิดครับ
ออกจากสถานีรถไฟ เดินตรงไปลอดใต้สะพานรถข้ามแล้วข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ Lahn ตรงไปอีกราว 300 เมตรก็อยู่บนเกาะเล็กๆ กลางแม่น้ำ มองไปทางซ้ายก็เห็นยอดโบสถ์ Elisabethkirche
ตรงต่อไปจนสุดถนน เลี้ยวซ้ายเดินไปยัง Elisabethkirche (St. Elizabeth’s Church) โบสถ์โกธิคที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ Heilige Elisabeth von Thüringen (St. Elizabeth of Hungary) เจ้าหญิงแห่งราชอาณาจักรฮังการี เมื่อปีค.ศ. 1235 ใช้เวลาก่อสร้างนานกว่า 100 ปีจึงเสร็จสมบูรณ์
เดินตรงเข้าถนนแคบๆ ชื่อ Steinweg เข้าสู่ Oberstadt (Upper Town) ของเมือง

ตรงขึ้นเนินตามถนน Steinweg (ถนนทางซ้าย) เดินเลียบสวนไปไม่ไกลก็เริ่มเห็นความเป็นถนนช้อปปิ้งของเมือง ตรงต่อเข้าถนน Neustadt แวะกินไอติมแถวนี้ก่อนเพราะวันนี้แดดแรงและอากาศค่อนข้างร้อน

เดินต่อตามถนน Wettergasse ที่มีบ้านสไตล์ half-timbered เรียงติดๆ กันหลายหลัง

พอถึงร้าน HUSSEL ทางขวามือมีบันไดขึ้นไปบนเขาและมีทางเดินต่อขึ้นไปยังปราสาทด้านบน แต่ยังไม่เดินขึ้นจากจุดนี้ เดินตามถนน Wettergasse ต่อไปอีกราว 100 เมตร เลี้ยวขวาเข้าถนน Marktgasse

ลานโล่งข้างหน้าคือ Oberstadtmarkt ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Marburger Rathaus หรือที่ทำการเมืองมาร์บวร์ก

ต่อไปเราจะเดินขึ้นเขาไปยัง Lutherische Pfarrkirche St. Marien (St. Mary’s Church) ตามเส้นทางนี้ ถ้าเลือกถนนทางซ้ายจะต้องไปเลี้ยวขวาแล้วขึ้นบันไดไป
ขึ้นบันไดไปยัง Marburger Schloss (Marburg Castle) ข้างบน


Marburger Schloss (Marburg Castle) หรือ Landgrafenschloss Marburg ปราสาทอลังการที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 11 บนยอดเขา Schlossberg เพื่อป้องกันเมือง ก่อนจะกลายเป็นที่อยู่แห่งแรกของ Landgrafschaft Hessen (Landgraviate of Hesse) หรือขุนนางผู้ปกครอง Hesse กระทั่งปีค.ศ. 1981 ทางการเมืองจึงได้ปรับเปลี่ยนอาคารเป็นพิพิธภัณฑ์ เช่น Marburger Universitätsmuseum für Kulturgeschichte, Wilhelmsbau


จากปราสาท นั่งรถเมล์สาย 10 กลับสถานีรถไฟ Marburg (Lahn) ได้เลย ถ้าจำไม่ผิดมีรถชั่วโมงละคัน
ขาลงเขามีสองทาง ถ้าไม่อยากงงก็เลือกเดินกลับทางเดิมไปยัง Oberstadtmarkt และถนน Wettergasse ได้

เลี้ยวขวาลงบันไดหน้าร้าน HUSSEL ไปยังเมืองด้านล่าง เลี้ยวขวาเดินตามถนนใหญ่อีกไม่ไกลก็เห็น Alte Universität หรือมหาวิทยาลัยเก่าอยู่บนเขา


เลยไปเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Erlenring ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำ Lahn แล้วเดินไปทางขวานิดเดียวมีร้านอาหารชิลล์ๆ ริมแม่น้ำชื่อ Ufercafe Gischler เป็นจุดถ่ายรูปที่เห็นแม่น้ำและปราสาทมาร์บวร์กอยู่บนเขาจุดแรก
เดินเลียบแม่น้ำไปอีกไม่ไกลมีทางลงแคบๆ ชันๆ ทางขวาไปที่ริมแม่น้ำ จุดนี้ถ่ายรูปเมืองมาร์บวร์กได้ดีกว่าจุดที่แล้วครับ


ได้ภาพที่พอใจแล้ว 🙂 เดินกลับทางเดิมเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ ไม่นานก็ถึงลานนั่งชิลล์ริมแม่น้ำ Lahn ฤดูร้อนแบบนี้หนุ่มสาวก็จะออกมาถีบเรือล่องแม่น้ำและนั่งคุยกันเพลินๆ

เดินตามทางจักรยานแคบๆ ริมแม่น้ำอีกราว 1 กิโล ลอดใต้สะพานรถข้าม เดินไปทางซ้ายก็เห็นสถานีรถไฟ Marburg (Lahn) อยู่ทางขวา
*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต