ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง GRAND AUSTRIA + BAVARIA ตอนที่ 7 “Innsbruck – Olpererhütte” เดินชมเมืองกลางห้อมล้อมเทือกเขาแอลป์ – เดินเขาเอาวิวหลักร้อยล้านสุดคุ้มค่าแรงเดิน

เที่ยวเอง รีวิว อินน์สบรูก ออสเตรีย tieweng review swarovski innsbruck olpererhutte austria
ออสเตรียอีกครั้ง เที่ยวแบบแกรนด์จากตะวันออกสู่ตะวันตกไปเลย

ครึ่งวันเช้าของวันที่ 7 เดินเที่ยวเมืองเก่า Salzburg หามุมถ่ายรูปปังๆ ตามรีวิวนี้เลย
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 6 “Salzburg” ละมุน คลาสสิก แข็งแกร่ง มนต์เสน่ห์เมืองมรดกโลกที่ไม่เคยลดเลือน

อ่านรีวิวเที่ยว 6 เมือง 2 หมู่บ้าน ในออสเตรียและเยอรมัน ตั้งแต่วันที่ 1-6 ได้จากลิ้งค์ด้านล่างนี้ครับ
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 1 “Vienna” ครั้งที่ 4 ยังมีที่ใหม่ให้ถ่ายรูป
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 2 “Graz” เมืองมรดกโลกงดงามคลาสสิกแห่งออสเตรีย
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 3 “Hallstatt” เมืองจิ๋วริมทะเลสาบอันงดงามไม่เคยเปลี่ยน
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 4 “Gosau – St. Wolfgang” หมู่บ้านวิวสดชื่นกับเมืองพักผ่อนสุดชิลล์ริมทะเลสาบน้ำใส
ซัมเมอร์ทริป..เที่ยวเอง Grand Austria + Bavaria ตอนที่ 5 “Berchtesgaden” เมืองเหมืองเกลือเก่าแก่ ศูนย์กลางเที่ยวภูเขาแอลป์และทะเลสาบงดงามของเยอรมัน

นี่คือแผนที่แสดงเส้นทางทั้งหมดของทริปนี้

บ่ายวันที่ 7 ของทริป

รถไฟด่วนพิเศษจากสถานีรถไฟกลาง Salzburg Hbf เข้าจอดที่ชานชาลาสถานีรถไฟกลาง Innsbruck Hbf ใช้เวลาเดินทางไม่ถึง 2 ชั่วโมง

ตั๋วรถไฟ Salzburg-Innsbruck ราคา 37.60 + ค่าจองที่นั่ง 3.50 ยูโร
เช็คตารางเวลารถไฟออสเตรียและซื้อตั๋วได้ที่ www.oebb.at

ออกจากสถานีรถไฟ เดินไปทางขวาแป๊บเดียวก็ถึง aDLERS Hotel เราจะพักที่นี่ 2 คืนครับ

โรงแรม 4 ดาวนี้ตั้งอยู่ในทำเลที่ดีมาก ใกล้สถานีรถไฟ เดินตรงเข้ากลางเมืองเก่าแค่ 650 เมตร
ห้องพักกว้างขวางตกแต่งแบบเรียบง่ายแต่หรูหราด้วยโทนสีน้ำตาลเข้มสลับกับสีเทา ที่โดดเด่นคือกระจกใสบานใหญ่ให้ชมวิวเมืองได้เต็มอิ่ม

ห้อง type นี้ครับ

บ่ายนี้มีเวลาเที่ยวเมืองเก่า Innsbruck 1 ชั่วโมงนิดๆ เพราะต้องไปขึ้นรถ Shuttle Bus ไป Swarovski Kristallwelten (Swarovski Crystal Worlds) ที่ยังไม่เคยไป ตอน 16.40 น.

เราเคยมาอินน์สบรูกก่อนแล้ว 2 ครั้ง จำทางเดินได้หมด เลยไม่ต้องเที่ยวละเอียดแล้ว เดินไปถ่ายรูปมุมมหาชนต่างๆ และขึ้นหอคอยชมวิวเมืองจากมุมสูงก็พอ

อ่านรีวิวเที่ยว Innsbruck ครั้งที่แล้วตามนี้เลย เที่ยวเอง AUSTRIA แต่ละทีต้องมีเมืองใหม่ๆ ตอนที่ 1 “Kufstein – Innsbruck” สองเมืองสุดงดงามในเทือกเขาแอลป์

เดินเที่ยวในเมืองเก่า Innsbruck

อินน์สบรูกคือเมืองหลวงของรัฐ Tyrol และเมืองใหญ่อันดับ 5 ของประเทศออสเตรีย ตัวเมืองอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Inn และโอบล้อมด้วยเทือกเขาแอลป์สูงทุกทิศทาง เสน่ห์ของเมืองอยู่ที่ความกลมกลืนระหว่างบ้านเมืองสีพาสเทลหวานใสกับฉากภูเขาสูงใหญ่รอบด้าน

ที่นี่ถือเป็นอีกหนึ่งศูนย์กลางการเล่นกีฬาฤดูหนาวยอดนิยมของยุโรป โดยเคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันโอลิมปิกส์ฤดูหนาวถึง 2 ครั้งคือในปีค.ศ. 1964 และ1976

เมืองเก่า Innsbruck มีขนาดไม่ใหญ่เลย เดินเที่ยวได้สบายครับ

ถ้าเริ่มต้นจากด้านหน้าสถานีรถไฟกลาง Innsbruck Hbf ให้เดินตรงเข้าถนน Salurner Straße ประมาณ 400 เมตรไปยัง Triumphpforte (Triumphal Arch) ประตูเมืองที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1765 เพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสการอภิเษกสมรสของ Archduke Leopold กับ Maria Ludovica เจ้าหญิงสเปน

จากนั้นเลี้ยวขวาเดินตามถนนสายหลักกลางเมืองเก่าชื่อว่า Maria-Theresien-Straße ซึ่งจะผ่านสถานที่สำคัญของเมืองแทบทั้งหมด

แต่เราพักที่โรงแรม aDLERS จึงใช้อีกเส้นทางเดินเข้าเมืองเก่าคือเดินตรงเข้าถนน Museumstraße ราว 600 เมตรก็ถึงใจกลางเมืองเก่าแล้ว

ระหว่างทางผ่าน Tiroler Landesmuseum (Tyrolean State Museum) หรือ Ferdinandeum พิพิธภัณฑ์ที่นำเสนอเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ทั้งหมดของแคว้น Tyrol และมองเห็นโบสถ์ Hofkirche mit Silberner Kapelle อยู่ทางขวามือ

ตรงตามทางรถรางต่อไปอีกนิดก็ถึงใจกลางเมืองเก่าที่ถนน Maria-Theresien-Straße
มองไปทางขวาก็เห็นแลนด์มาร์คสำคัญที่สุดของเมืองคือ Goldenes Dachl (Golden Roof) อยู่ไม่ไกล

เดินตามถนน Maria-Theresien-Straße ไปทางซ้ายก่อน

เดินผ่านโบสถ์สีชมพูหวานแหววชื่อ Spitalskirche zum Heiligen Geist (Hospital Church of the Holy Spirit) ไม่ไกลก็ถึงอนุสาวรีย์ Annasäule (St. Anne’s Column) ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะของแคว้นทิโรลที่สามารถป้องกันการรุกรานของแคว้นบาวาเรียได้สำเร็จในช่วงสงครามสเปน

ถ้าเดินตรงเลยอนุสาวรีย์ Annasäule ไปราว 350 เมตรก็จะถึงประตูชัย Triumphpforte

เดินตามถนน Maria-Theresien-Straße กลับไปทางโบสถ์ Spitalskirche zum Heiligen Geist

ตรงต่อเข้า Herzog-Friedrich-Straße ถนนคนเดินสายหลักของเมืองที่สองข้างทางเรียงรายด้วยร้านขายสินค้ามากมาย โดยเฉพาะจิวเวลรี่และเครื่องประดับ

ก่อนถึง Goldenes Dachl (Golden Roof) มีหอคอยสูง 51 เมตรเรียกว่า Stadtturm (City Tower) อยู่ทางขวามือ

หอคอยของ Altes Rathaus (Old Town Hall) หรือ Historisches Rathaus (Historic Town Hall) ที่สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปีค.ศ. 1450 ส่วนอาคารที่ว่าการเมืองหลังเก่านั้นสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1358 หลังได้รับความเสียหายหนักจากแผ่นดินไหวและไฟไหม้

มา Innsbruck ครั้งที่ 3 ต้องขึ้นบันได 133 ขั้นไปชมวิวมุมสูงของเมืองจากยอดหอคอยแล้วสิ ขึ้นหอคอยได้ทุกวันตั้งแต่ 10.00-18.00 น. วันที่ 1 มิ.ย.-30 ก.ย. ปิด 20.00 น. ค่าขึ้นหอคอย 4.50 ยูโร

ลงจากหอคอยไปถ่ายรูป Goldenes Dachl (Golden Roof) อาคารสัญลักษณ์สำคัญในเมืองเก่าที่สร้างโดยจักรพรรดิ Friedrich ที่ 4 ในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 สำหรับเป็นที่ประทับของผู้ปกครองแคว้นทิโรล ต่อมาจักรพรรดิ Maximilian ได้ทรงปรับเปลี่ยนให้เป็นสไตล์โกธิคผสมบาโรคและทรงตกแต่งส่วนของหลังคาที่ยื่นออกมาจากระเบียงด้วยทองคำแท้จำนวน 2,738 แผ่นเพื่อใช้เป็นที่ทอดพระเนตรการแข่งขันหรือเทศกาลต่างๆ ที่จัดขึ้นบริเวณด้านหน้าที่ประทับ

ส่วนด้านหน้าใช้การตกแต่งด้วยภาพวาดของศิลปินชื่อดังหลายคนในยุคนั้นเพื่อสื่อถึงความยิ่งใหญ่ของแคว้นทิโรล

หันหน้าเข้าหา Goldenes Dachl เดินเข้าถนนทางซ้ายนิดเดียวก็ถึง Innbrücke (Inn Bridge) สะพานข้ามแม่น้ำ Inn ที่สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 ซึ่งเป็นที่มาของชื่อเมืองที่แปลว่า “สะพานข้ามแม่น้ำ Inn” นั่นเอง

ฝั่งตรงข้ามแม่น้ำมีอาคารสีพาสเทลหวานแหววเรียงเป็นแผงหน้ากระดาน จุดนี้คือมุมถ่ายรูปมหาชนของอินน์สบรูกเลย

เดินเลียบแม่น้ำ Inn ไปที่ Marktplatz ถ้ามาช่วงปลายเดือนพฤศจิกา-ธันวาจะมีตลาดคริสต์มาสที่นี่
ช่วงหน้าหนาวที่มีหิมะปกคลุมบนยอดเขาด้านหลังวิวจะสวยงามอลังการสุดๆ เลย

ชมวิวริมแม่น้ำได้แป๊บเดียวก็ต้องเดินไปที่ป้ายรถรอขึ้น Shuttle Bus ไป Swarovski Kristallwelten (Swarovski Crystal Worlds) แล้ว

เดินกลับไปที่ Goldenes Dachl (Golden Roof) แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Pfargasse ตรงอีกนิดก็ถึง Dom zu St. Jakob (Cathedral of St. James) หรือ Innsbruck Cathedral มหาวิหารประจำเมืองสไตล์บาโรคที่โดดเด่นด้วยหอคอยคู่ตระหง่านอยู่กลางเมืองเก่า ภายในโบสถ์ประดับประดาด้วยภาพวาดฝาผนังของศิลปินชื่อดังชาวเยอรมัน Lucas Cranach

เดินไปทางด้านหลังโบสถ์ลัดอาคาร Hofburg Innsbruck ไปออกที่ถนนใหญ่ชื่อ Rennweg

Hofburg Innsbruck (Imperial Palace) พระราชวังหลวงที่สร้างโดยจักรพรรดิ Siegmund ในช่วงปีค.ศ. 1460 ในสไตล์โกธิค ต่อมาถูกสร้างใหม่เพิ่มเติมให้เป็นสไตล์บาโรคโดยมีรายละเอียดบางอย่างเป็นสไตล์รอคโคโคโดยจักรพรรดินี Maria Theresa ในระหว่างปีค.ศ. 1754-1773

พระราชวังประกอบไปด้วยห้องทั้งหมด 25 ห้อง มีห้องโถงตรงกลางซึ่งตกแต่งด้วยโทนสีขาวและทอง ประดับฝาผนังด้วยรูปภาพของราชวงศ์ฮับส์บวร์ก

พิพิธภัณฑ์เปิดให้ชมทุกวันตั้งแต่ 09.00-17.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 9.50 ยูโร
อัพเดทข้อมูลได้ที่ visit Hofburg Innsbruck

เดินไปที่ป้าย Innsbruck, Congress/Hofburg รอ Shuttle Bus ไป Swarovski Kristallwelten เวลา 16.44 น. (Shuttle Bus ออกจากสถานีรถไฟกลาง Innsbruck Hbf 10.20, 12.40, 14.40, 16.40 น.) ตั๋วไป-กลับราคา 10 ยูโร
อัพเดทข้อมูลได้ที่ Swarovski Crystal Worlds Shuttle Bus

นั่งรถแค่ 28 นาทีก็ถึงทางเข้า Swarovski Kristallwelten (Swarovski Crystal Worlds) อาณาจักรของแบรนด์คริสตัลระดับโลก Swarovski” ที่ตั้งอยู่ในเขตเมือง Wattens ห่างจากเมือง Innsbruck ไปทางตะวันออกราว 20 กม.

ภายในบริเวณมีทั้งพื้นที่สวน พิพิธภัณฑ์ สำนักงานใหญ่ ร้านค้า และร้านอาหาร

เวลาเปิด-ปิด เปิดทุกวัน 09.00-19.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 23 ยูโร
อัพเดทข้อมูลได้ที่ visit Swarovski Crystal Worlds

ภายในพิพิธภัณฑ์แบ่งเป็นห้องแสดงผลงานประดับคริสตัลแพรวพราว อลังการงานสร้างสุดๆ ครับ

รับประทานอาหารเย็นที่ Daniels Restaurant ที่นี่เลย
ร้านนี้มีเมนูอาหารฝรั่งและเอเชียให้เลือก ที่ชอบคือเค้กหลากหลายรส เลือกกันไม่ถูกเลยแหละ

Shuttle Bus รอบสุดท้ายกลับ Innsbruck คือ 19.05 น.

คืนแรกที่ Innsbruck รีบนอนหน่อยเพราะพรุ่งนี้เช้าต้องไปเดินเขาไกล

วันที่ 8 (วันรองสุดท้ายในออสเตรีย)

เช้าวันนี้เราจะไปเดินเขาขึ้น Olpererhütte กัน

Olpererhütte อยู่ใกล้ชายแดนอิตาลี ห่างจากเมือง Innsbruck ไปทางตะวันออกเฉียงใต้ราว 90 กม.

วิธีการเดินทางไปคือขับรถไปจอดที่ Parkplatz & Bushaltestelle ตรงอ่างเก็บน้ำ Schlegeisspeicher (Schlegeis Stausee) จอดได้ตั้งแต่เวลา 07.00-18.00 น. ยกเว้นเดือนก.ค.-ส.ค. ที่เปิดตั้งแต่ 06.00 น. เสียค่าผ่านทาง 14.50 ยูโรต่อคัน จ่ายด้วยเงินสดเท่านั้น แต่ไม่ต้องเสียค่าที่จอดรถแล้ว

ถ้าไม่ขับรถเองก็มีรถเมล์สาย 4102 ให้บริการจากเมือง Mayhofen ตั๋วไป-กลับ 20 ยูโร ใช้เวลาเดินทางราว 50 นาที

แนะนำให้เตรียมอาหารและน้ำดื่มไปด้วยนะครับ ร้านอาหารข้างบนคนเยอะและราคาค่อนข้างแพง

จากลานจอดรถ เดินไปเริ่มต้น hike ขึ้นเขาตรงนี้

เส้นทางเดินเขาไปยัง Olpererhütte มีให้เลือก 3 เส้นทางในระดับความยากง่ายและระยะทางต่างกันครับ เราเลือกเส้นทางที่ใกล้และตรงที่สุดคือ Trail 502 ไต่ระดับความสูงประมาณ 600 เมตร ระยะทางเดินไป-กลับทางเดิมรวม 6 กม. ใช้เวลาเดินขึ้นประมาณ 3 ชั่วโมง แม้ว่านักเดินเขาคนอื่นบอกว่าเส้น Trail 532 ที่อ้อมและต้องใช้เวลาเดิน 6-7 ชั่วโมง วิวสวยที่สุดก็ตาม เอาเท่านี้แหละ พอแล้ว 55

ช่วงเวลาที่เปิดให้เดินเขาคือปลายพ.ค.-กลางต.ค. ขึ้นอยู่กับปริมาณหิมะในแต่ละปี หน้าหนาวปิดยาวแน่นอน

เส้นทางมีแต่ขึ้นๆๆ ทางชันอย่างเดียวเลย แทบไม่มีทางราบให้เดินพัก แต่พอเจอวิวภูเขากับน้ำสีเทอร์คอยซ์ของอ่างเก็บน้ำ Schlegeisspeicher ที่อยู่ข้างล่างก็ต้องร้องว้าว เดินๆ หยุดๆ ถ่ายรูปเกือบตลอดทาง มีกำลังใจเดินไปถึงจุดหมายเลยครับ

ขึ้นเขาสูงไปประมาณ 2 ชั่วโมงก็เริ่มมีทางเดินชันน้อยหน่อยพอให้นั่งพักหายใจบ้าง

เงยหน้ามองขึ้นไปก็เห็น Olpererhütte หรือ Olperer mountain hut กระท่อมสำหรับนักเดินเขาบนภูเขา Zillertal Alp ที่สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปีค.ศ. 1881 บนความสูง 2,389 เมตรจากระดับน้ำทะเล ทุกวันนี้มีการก่อสร้างเพิ่มเติมใหม่จนมีความคงทนแข็งแรงและขนาดใหญ่กว่าแต่ก่อน

เดินขึ้นทางชันช่วงสุดท้ายก็เห็นวิวนี้ก่อนถึงร้านอาหารบนเขา

พักกินอาหารแถวนี้ก่อนแล้วค่อยเดินขึ้นเขาอีกไปยังที่หมาย

เดินขึ้นเขาไปอีกไม่ไกลก็ถึงที่หมายของการ hike ในวันนี้ นั่นคือ สะพานแขวนที่สร้างด้วยไม้พาดผ่านเวิ้งน้ำลักษณะคล้ายทะเลสาบที่อยู่เบื้องล่างกับวิวภูเขาและธารน้ำแข็งอันยิ่งใหญ่เป็นฉากหลัง

ตรงนี้ต้องต่อคิวถ่ายรูปแป๊บนึงครับ

เมื่อไปยืนหรือนั่งอยู่บนสะพานแล้วใช้มุมกล้องถ่ายจะได้ภาพที่ดูหวาดเสียวกว่าความเป็นจริงซึ่งไม่ได้น่ากลัวอะไรนัก แต่ได้ภาพโคตรปังแน่นอนครับ

ขาลงเขาใช้เวลาเดินไม่ถึง 3 ชั่วโมงครับ

ขับรถกลับ Innsbruck

มื้อเย็นนี้ขอผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากการเดินเขาด้วยอาหารอร่อยๆ ที่ร้าน Tiroler Abende (Tyrolean evening) พร้อมดูโชว์ท้องถิ่นแบบทิโรลที่มีทั้งดนตรี ร้องเพลง และการละเล่นแนว folklore มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1967
ค่าดินเนอร์และดูโชว์ 58 ยูโร

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.tiroler-abend.com

โชว์ชุดต่างๆ สนุกดี ดูเพลินมาก เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากผู้ชมได้ตลอดเวลาเลย

ค้างที่ Innsbruck เป็นคืนที่ 2

วันสุดท้ายในประเทศออสเตรีย

ช่วงเช้าวันที่ 9 เรามีเวลาเที่ยวสถานที่ไฮไลต์อีก 2 แห่งของ Innsbruck ซึ่งยังไม่เคยไปจนถึงบ่ายสอง

ที่แรกคือ Bergisel Schanze

09.15 น. นั่งรถเมล์สาย 4140 จากป้าย Innsbruck Hauptbahnhof หน้าสถานีรถไฟ 7 นาที ไปลงที่ป้าย Innsbruck Tirol Panorama ตั๋วรถเมล์ Einzelticket เที่ยวเดียว 2.80 ยูโร แต่ซื้อตั๋ว 24h-Ticket Innsbruck 2Plus ราคา 9 ยูโร 1 ใบไปเลย ตั๋วนี้ใช้เดินทางพร้อมกันได้ 2 คน + เด็กอายุน้อยกว่า 15 ปี อีก 3 คน (ตั๋ว 24h-Ticket Innsbruck สำหรับคนเดียวราคา 6.10 ยูโร)

เช็คตารางเวลารถเมล์ได้ที่ www.vvt.at
อัพเดทค่าตั๋วได้ที่ www.ivb.at

เดินอีกราว 200 เมตรก็ถึง Bergisel Schanze (Bergisel Sprungschanze) หรือ Bergisel Ski Jump ลานกระโดดสกีความจุ 26,000 ที่นั่งในเขต Bergisel ทางใต้ของศูนย์กลางเมือง Innsbruck สร้างขึ้นตั้งแต่ทศวรรษ 1920

ลานสกีนี้ใช้เป็นสนามแข่งขันโอลิมปิกส์ฤดูหนาวปีค.ศ. 1964 รวมทั้งเป็นหนึ่งในสนามหลักของ FIS Ski Jumping World Cup อีกด้วย

ช่วงเดือนมิ.ย.-ต.ค. เปิดทุกวัน 09.00-18.00 น., พ.ย.-พ.ค. เปิดถึง 17.00 น. และปิดวันอังคาร ค่าเข้า 10 ยูโร
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.bergisel.info

เจ้าหน้าที่พาเราเดินทัวร์ลานสกี ให้ขึ้นไปนั่งตรงจุดปล่อยตัวชั้นสูงสุด บอกเลยว่าเสียวสุดๆ เพราะถ้าพลาดไหลลงไปไม่รอดแน่นอน แถมจั๊มพ์โชว์ให้ดูอีกครั้งด้วย

กลับเข้ากลางเมือง Innsbruck

เดินประมาณ 750 เมตรไปที่ป้าย Innsbruck Basilika Wilten นั่งรถเมล์สาย 4142 เวลา 10.34 น. (4 นาที) / สาย 590 เวลา 10.40 น. (5 นาที) กลับไปลงที่ป้าย Innsbruck Hauptbahnhof

หรือ 11.03 น. นั่งรถเมล์สาย 4140 จากป้าย Innsbruck Tirol Panorama 7 นาที กลับไปลงที่ป้าย Innsbruck Hauptbahnhof ก็ได้

ไป Hafelekar

จากป้าย Innsbruck Hauptbahnhof มีรถเมล์สาย B ตอน 10.20 / 10.50 / 11.20 น. แค่ 4 นาทีก็ลงที่ป้าย Innsbruck Congress/Hofburg

เช็คตารางเวลารถเมล์ได้ที่ www.vvt.at

เดินอีกนิดไปสถานี Innsbrucker Nordkettenbahnen – Kongress (พิกัดใน Google Map คือ Innsbrucker Nordkettenbahnen Betriebs GmbH หรือ Nordkette Cable Car)

ลงบันไดเลื่อนไปชั้นใต้ดิน ซื้อตั๋วไป-กลับ Innsbruck – Hafelekar / Top of Innsbruck ราคาผู้ใหญ่ 44 ยูโร
อัพเดทข้อมูลได้ที่ https://nordkette.com

นั่งรถรางไฟฟ้าสาย Hungerburgbahn 8 นาทีไปที่สถานี Hungerburg (รถรางออกทุก 15 นาที) แล้วเดินไปขึ้นเคเบิ้ลคาร์สาย Hafelekarbahn ไปที่สถานี Hafelekar หรือ Top of Innsbruck ที่ระดับความสูง 2,256 เมตร ตรงนี้คือประตูสู่อุทยานแห่งชาติ Karwendel

เช็คเวลาให้บริการได้ที่ https://nordkette.com เลือก Schedule

ระหว่างทางสามารถลงที่สถานี Seegrube ที่ความสูง 1,905 เมตร ซึ่งมีร้านอาหารอร่อยและวิวดีงาม

จากสถานี Hafelekar (Top of Innsbruck) เดินขึ้นเขาอีก 10-15 นาทีไปยังจุดชมวิวที่สูงที่สุดของ Innsbruck บนความสูง 2,269 เมตร

จากจุดนี้จะมองเห็นตัวเมือง Innsbruck อยู่ด้านล่างและแนวภูเขาสูงทางเหนือของเมืองที่เรียกว่า Nordkette ซึ่งเป็นเส้นทางสกียอดนิยมในฤดูหนาว

ลงเคเบิ้ลคาร์ไปที่สถานี Hungerburg ต่อรถรางไฟฟ้ากลับสถานี Innsbrucker Nordkettenbahnen – Kongress

13.42 น. นั่งรถเมล์สาย B (5 นาที) จากป้าย Innsbruck Congress/Hofburg กลับไปลงที่ป้าย Innsbruck Hauptbahnhof แล้วเดินกลับโรงแรมไปเอากระเป๋าที่ฝากไว้

จบทริป Grand Austria ที่เมือง Innsbruck

เดินทางต่อโดยรถไฟเข้าสู่รัฐ Bavaria ประเทศเยอรมันอีกครั้งไปยังเมือง Garmisch-Partenkirchen

*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต