ทริปเที่ยวเอง Finland และ 3 ประเทศกลุ่มบอลติก Estonia, Latvia, Lithuania

จาก Lapland ทางภาคเหนือของฟินแลนด์ เรานอนในรถไฟข้ามคืนถึงกรุง Helsinki ที่สถานีรถไฟกลาง
อ่านรีวิวตอนแลปแลนด์ได้จากลิ้งค์นี้ครับ
เที่ยวเอง FINLAND – BALTIC ตอนที่ 1 แสงเหนือสุดฟิน อินชีวิตแบบแลปแลนด์ นอนกลาสอิกลู ที่ “Kakslauttanen Arctic Resort”
Helsinki ครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ของผม ภาพจำเมื่อ 6 ปีก่อนยังอยู่ในหัวไม่ลืม เหมือนเพิ่งกลับไม่นานเลย
อ่านรีวิว Helsinki ครั้งแรกซึ่งเริ่มต้นจากสนามบินได้ที่ ตะลุยเดี่ยว..เที่ยวเอง “สแกนดิเนเวีย” ตอนที่ 1 “Finland” เที่ยวฟินในดินแดนซานตาคลอส
ครั้งนี้จึงเที่ยวแบบแทบไม่ต้องดูแผนที่เพราะจำทางได้เกือบหมด แต่ก็ต้องอัพเดทข้อมูลใหม่ๆ หลายสิ่งเหมือนกัน
รีวิวนี้จึงเหมือนเป็นการ revise ข้อมูลการเที่ยวกรุงเฮลซิงกิให้ถูกต้องและทันสมัยครับ
เมื่อคืนรถไฟออกจาก Rovaniemi ในแลปแลนด์ 3 ทุ่มนิดหน่อย กำหนดจะถึงเฮลซิงกิในเวลา 09.14 น. ตั้งมือถือปลุกไว้ก่อนเวลาถึงซัก 2 ชั่วโมงกำลังดี จะได้จัดการกิจธุระยามเช้าและเก็บข้าวเก็บของให้เรียบร้อย
ทุกเช้า หลังลืมตาตื่น สิ่งแรกที่ต้องทำคือเข้าห้องน้ำล้างหน้าแปรงฟัน ต่อด้วยชงกาแฟดื่มให้ตาสว่างเพราะปกติเป็นคนนอนดึกมากและตื่นสายมากเช่นกัน ตื่นเช้าตรู่ไม่ค่อยไหว ถ้าไม่ได้กาแฟด่วนๆ จะลืมตาไม่ขึ้น 555
เช้านี้บนรถไฟไม่มีกาแฟให้ชงเหมือนตอนอยู่โรงแรม ผมเป็นคนติดกาแฟและชอบชงดื่มเองทุกเช้าซะด้วยสิ เวลาไปเมืองนอกทุกทริปจึงต้องพกกาแฟแบบซอง เตรียมกาต้มน้ำและถ้วยไปด้วยเสมอ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ขอแค่มีไฟฟ้าก็ชงกาแฟดื่มได้สบายใจเฉิบ 🙂
คราวนี้ผมพก Café Amazon Drip Coffee กาแฟดริป คาเฟ่ อเมซอน กาแฟแท้คั่วบดระดับกลางถึงเข้มไปด้วย
ขอบอกเลยว่ากลิ่นหอมมาก แค่ดมก็อร่อยแล้ว 😀 รสชาติก็เข้มข้นดีงามสมกับที่ผลิตจากเมล็ดกาแฟคุณภาพสูง ชงดื่มเองอร่อยเหมือนซื้อกาแฟแก้วเป็นร้อยเลย ดื่มปุ๊บตื่นปั๊บ เฟรชทั้งวันยันเที่ยงคืน 555
วิธีชงก็สะดวกง่ายดายมาก แค่แกะซอง เอาถุงกาแฟออกมา ฉีกปากถุงใต้คำว่า OPEN กางหูถุงไปเกี่ยวกับขอบถ้วย
จากนั้นเทน้ำร้อนไม่ต้องมาก เทวน 1 รอบ แค่พอให้ผงกาแฟชุ่ม รอ 20 วิ และค่อยๆ เทน้ำร้อนที่เหลือให้ครบประมาณ 150 มล. หรือจนท่วมครึ่งถุงกาแฟ แช่ทิ้งไว้ประมาณ 4 นาที เพื่อให้รสกาแฟเข้มข้น แล้วเอาถุงกรองออก ถ้าชอบหวานก็ใส่น้ำตาลตามใจ แค่นี้ก็ได้ดื่มกาแฟหอมกรุ่น อร่อยเข้ม ฟินเหมือนชื่อฟินแลนด์เลย 😀
ถ้าได้นั่งจิบที่ระเบียงห้อง มองเห็นบ้านเมืองยุโรปอันสวยงามคงเป็นบรรยากาศดีๆ ของการดื่มกาแฟยามเช้าไม่น้อยเลย ^^
รถไฟเข้าจอดที่ชานชาลาของสถานีรถไฟกลาง Rautatieasema Järnvägsstation (Helsingin päärautatieasema) เราจะเริ่มต้นเที่ยวกรุงเฮลซิงกิ เมืองหลวงของประเทศฟินแลนด์ ตรงนี้ครับ
แต่ก่อนจะออกเดินเที่ยวก็ต้องปลดสัมภาระหนักให้สบายตัวก่อน ที่ชั้นใต้ดินของสถานีรถไฟกลางมีห้องล็อคเกอร์ใหญ่อยู่ มีป้ายบอกทางชัดเจนครับ ตู้ใหญ่ใส่กระเป๋าเดินทาง 28 นิ้วและกระเป๋าสะพาย 1 ใบได้ ค่าฝากทั้งวัน 6 ยูโรครับ
10 โมงตรงในวันที่ 5 ของทริป พร้อมเดินชมเมืองเฮลซิงกิแล้ว
เฮลซิงกิเป็นเมืองหลวงที่มีขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่ สามารถเดินเที่ยวสถานที่หลักๆ ได้หมด แต่ถ้าจะไปสวน Sibelius ก็ต้องเดินไกลหน่อยหรือไม่ก็นั่งรถเมล์เอา
ดังนั้นจึงอาจไม่ต้องเสียเงินค่ารถในเมืองเลย แต่ยังไงก็ขอให้ข้อมูลค่าตั๋วรถสาธารณะประเภทต่างๆ ของเฮลซิงกิที่เกี่ยวข้องกับนักท่องเที่ยวเผื่อต้องการใช้บ้าง ดังนี้
– kertalippu (single ticket) คือตั๋วเที่ยวเดียวสำหรับโดยสารรถเมล์ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 3.20 ยูโร เมื่อซื้อจากคนขับรถ และ 2.90 ยูโร เมื่อซื้อจากเครื่องขายตั๋ว เด็กอายุ 7-16 ปี ลดครึ่งราคา ตั๋วรถเมล์ชนิดนี้สามารถใช้เดินทางได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งและประเภทรถภายในเวลา 1 ชั่วโมงนับจากเวลาที่ใช้ครั้งแรก
ตั๋วชนิดนี้ของรถรางเรียกว่า raitiovaunulippu ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 2.50 ยูโร ซื้อได้จากเครื่องขายตั๋วเท่านั้น สามารถใช้โดยสารรถรางเท่านั้นได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งภายในเวลา 1 ชั่วโมง
ตั๋ว kertalippu (single ticket) ของเรือไป Suomenlinna สำหรับผู้ใหญ่ราคา 5 ยูโร
– seutulippu (regional ticket) คือตั๋วเที่ยวเดียวที่ใช้เดินทางครอบคลุมไปยังนอกเมืองเฮลซิงกิ ได้แก่ Espoo, Vantaa และ Kauniainen ได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งและประเภทรถภายใน 80 นาที ตั๋วสำหรับผู้ใหญ่ราคา 5.50 ยูโร เมื่อซื้อจากคนขับรถ และ 5 ยูโร เมื่อซื้อจากเครื่องขายตั๋ว เด็กอายุ 7-16 ปี ลดครึ่งราคา
เดินทางจากสนามบินเข้าตัวเมืองเฮลเซงกิให้ซื้อตั๋วประเภทนี้ครับ
– Vuorokausilippu (day ticket) คือตั๋ววันใช้โดยสารรถเมล์และรถรางได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งภายใน 1 วันโดยนับเวลาจากการใช้ครั้งแรก แต่ไม่ครอบคลุมไปถึง Espoo, Vantaa และ Kauniainen ราคา 9 ยูโร เด็กอายุ 6-17 ปี ลดครึ่งราคา โดยมีให้เลือกตั้งแต่แบบ 1 วันไปจนถึง 7 วัน สามารถซื้อตั๋วได้จากเครื่องขายตั๋ว ร้านค้า และสำนักงานของ HSL รวมถึงคนขับรถเมล์
อัพเดทค่าโดยสารได้ที่ Helsinki transportation fares
ออกจากสถานีรถไฟกลาง Rautatieasema Järnvägsstation
เดินไปทางซ้ายนิดเดียวก็ถึงจัตุรัสขนาดใหญ่ด้านข้างของสถานีรถไฟกลางซึ่งเป็นสถานีรถบัสที่เรียกว่า Rautatientori (Railway Square) ถ้านั่งรถเมล์จากสนามบินก็จะมาลงที่นี่ครับ
มองไปทางซ้ายมือไม่ไกลคืออาคาร Suomen Kansallisteatteri (Finnish National Theatre) หรือโรงละครแห่งชาติฟินแลนด์ที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1872 ที่ด้านหน้ามีรูปปั้นของ Aleksis Kivi นักประพันธ์ผู้เขียนนวนิยายเรื่องสำคัญ “Seven Brothers” เป็นภาษาฟินนิชเป็นครั้งแรก
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit Finnish National Theatre
ส่วนอาคารหน้ากว้างทางขวาคือ Ateneumin taidemuseo หรือ Ateneum Art Museum พิพิธภัณฑ์ที่เก็บรวบรวมผลงานศิลปะแบบคลาสสิกที่ใหญ่ที่สุดของฟินแลนด์ซึ่งแต่เดิมเคยเป็น Kuvataideakatemia (Finnish Academy of Fine Arts) และ Aalto-yliopiston taiteiden ja suunnittelun korkeakoulu (Aalto University of Art and Design)
ข้ามถนนตรงสี่แยกใหญ่ไปยังฝั่งพิพิธภัณฑ์ ตรงไปอีกนิดแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Yliopistonkatu เดินอีกประมาณ 5 นาทีผ่านสถานีรถไฟใต้ดิน Kaisaniemi ก็เห็นด้านข้างของ Helsingin tuomiokirkko (Helsinki Cathedral)

เลี้ยวขวาเดินไปยัง Senaatintori หรือ Senate Square จัตุรัสขนาดใหญ่แห่งนี้เป็นจัตุรัสที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของกรุงเฮลซิงกิก็ว่าได้ ตรงกลางจัตุรัสมีอนุสาวรีย์ของจักรพรรดิ Alexander ที่ 2 ผู้ยิ่งใหญ่ตั้งอยู่ที่ด้านหน้าของ Helsingin tuomiokirkko (Suurkirkko) หรือ Helsinki Cathedral
มหาวิหารแห่งเฮลซิงกิคือโบสถ์ที่สำคัญที่สุดของกรุงเฮลซิงกิ โบสถ์หลังคาโดมสีเขียวนี้สร้างในสไตล์นีโอคลาสสิกมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1830-1852 โดยฝีมือการออกแบบของ Carl Ludvig Engel เพื่ออุทิศให้แก่นักบุญ St. Nicholas ทำให้ในอดีตเป็นที่รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า St. Nicholas’ Church
สามารถเข้าชมภายในของโบสถ์ได้ฟรีทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-18.00 น. โดยช่วงเดือนมิ.ย.-ส.ค. เปิดจนถึงเที่ยงคืน
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit Helsinki Cathedral
รอบๆ จัตุรัสเป็นที่ตั้งของอาคารสำคัญคือ Helsingin yliopisto หรือมหาวิทยาลัยแห่งเฮลซิงกิ และ Valtioneuvoston linna คืออาคารที่ทำการรัฐบาลของฟินแลนด์
ลงบันไดด้านหน้ามหาวิหารไปที่ Senaatintori (Senate Square)
เดินไปทางซ้ายตามถนน Aleksanterinkatu ไม่ไกลก็เห็นท่าเรือ Halkolaituri และด้านหลังของ Uspenskin katedraali
ข้ามสะพานสั้นๆ ที่เรียกว่า Rakkauden Silta หรือ The Bridge of Love แล้วเลี้ยวขวาเดินขึ้นไปยังโบสถ์รัสเซียนที่สำคัญที่สุดของเฮลซิงกิ
Uspenskin katedraali (Uspenski Cathedral) หรือ Uspenskij sobor (Успенский собор) ในภาษารัสเซีย คือโบสถ์คริสต์นิกายออร์โธด็อกซ์ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวรัสเซียชื่อว่า Alexey Gornostaev หลังจากเขาเสียชีวิตจึงได้มีการก่อสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1862-1868 โบสถ์สีอิฐหลังนี้ตั้งอยู่บนเนินเขาไม่สูงที่บริเวณคาบสมุทร Katajanokka ใกล้กับ Market Square ของเฮลซิงกิ สามารถเข้าชมภายในโบสถ์ได้ฟรี
เช็ครายละเอียดเวลาเปิด-ปิดได้ที่ visit Uspenski Cathedral
ลงจากโบสถ์ข้ามถนนเดินไปทางทะเล แถวนั้นเรียกว่า Kauppatori หรือ Market Square ซึ่งมีท่าเรือบริการไปยังสถานที่ท่องเที่ยวที่อยู่ตามเกาะแก่งต่างๆ เช่น Suomenlinna และตลาดขายของพื้นเมืองมากมาย แต่วันนี้ตลาดไม่คึกคักเหมือนตอนที่มาครั้งที่แล้วเลย
มองตรงข้ามทะเลไปก็เห็นเรือเฟอร์รี่ขนาดใหญ่ของ Silja Line ถ้าจะไป Stockholm ให้ไปขึ้นเรือที่ท่าเรือนั้นครับ
อีกด้านหนึ่งของ Market Square เป็นที่ตั้งของอาคาร Presidentinlinna (Presidential Palace) ที่มีทหารยืนรักษาความปลอดภัยอยู่ด้านหน้า
ตอนมาเฮลซิงกิครั้งก่อนผมไป Suomenlinna แล้ว ครั้งนี้เลยขี้เกียจไปอีก ขอเดินเล่นในเมืองดีกว่า
ถ้าจะไป Suomenlinna ก็ซื้อตั๋ว kertalippu (single ticket) สำหรับโดยสารเรือสำหรับผู้ใหญ่ราคา 5 ยูโร และนั่งเรือ HKL ferry ประมาณ 15 นาทีก็จะถึง Main quay บนเกาะ Iso Mustasaari ของ Suomenlinna
อ่านรีวิว Helsinki ครั้งแรกที่ให้ link ไว้ตอนต้นรีวิวนี้ได้ครับ
Suomenlinna (Castle of Finland) หรือ Sveaborg ชื่อเดิมคือ Viapori เป็นป้อมปราการทางทะเลอยู่บนเกาะนอกชายฝั่งกรุงเฮลซิงกิ ป้อมโบราณนี้สร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1748 ตามพระราชประสงค์ของกษัตริย์สวีเดนซึ่งขณะนั้นเป็นผู้ปกครองฟินแลนด์เพื่อป้องกันการรุกรานขยายอาณาเขตของรัสเซีย ต่อมาในปีค.ศ. 1991 Suomenlinna ได้รับการบรรจุให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การ UNESCO
บนเกาะมีพิพิธภัณฑ์ โฮสเทล ร้านอาหารมากมาย และสถานที่ที่น่าสนใจหลายแห่ง ได้แก่ Suomenlinnan kirkko โบสถ์สำคัญ Suuri linnanpiha หรือ The Great Courtyard ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Ehrensvärdin หรือสุสานของ Augustin Ehrensvärd สถาปนิกชาวสวีเดนผู้ออกแบบและก่อสร้างป้อมปราการแห่งนี้ และ Kuninkaanportti หรือ The King’s Gate
เที่ยงแล้ว หิวพอดีเลย ตรงนี้มีร้านอาหารเรือชื่อ MS Marival II เป็นบุฟเฟ่ต์อาหารกลางวันหัวละ 11.50 ยูโร วันนี้ตรงกับวันพฤหัสพอดี มี Lamb meatballs ของโปรดเลย
กินบุฟเฟ่ต์จัดเต็มไป มื้อนี้!
จากนั้นเดินตามถนน Pohjoisesplanadi คนละทางกับโบสถ์ Uspenski ผ่านสวน Esplanadi
พอพ้นสวนไปก็เลี้ยวขวาเข้าถนน Mikonkatu ที่มีช็อป LV หรือจะเลยไปเลี้ยวขวาที่ถนน Keskuskatu ก็ได้ เดินตรงไปก็กลับถึงสถานีรถไฟกลาง Rautatieasema Järnvägsstation (ระยะทางราว 1 กิโลเมตร)
ถ้าขี้เกียจเดินก็นั่งรถรางสายนั่งรถรางสาย 2 (เส้นสีเขียวอ่อน) จากป้าย Kauppatori (ทางขวาล่าง) 4 ป้ายไปลงที่ป้าย Lasipalatsi ใกล้สถานีรถไฟกลาง ค่าตั๋ว kertalippu (single ticket) ของรถรางที่เรียกว่า raitiovaunulippu ราคา 2.50 ยูโร ซื้อจากเครื่องขายตั๋วเท่านั้น สามารถใช้โดยสารรถรางเท่านั้นได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งภายในเวลา 1 ชั่วโมง
เช็คเส้นทางรถไฟใต้ดินและรถรางของเฮลซิงกิได้ที่ Helsinki metro and tram routes
จากหน้าสถานีรถไฟกลาง Rautatieasema Järnvägsstation เดินตามถนน Kaivokatu ไปคนละทางกับตอนเดินไป Helsinki Cathedral เดินตามทางรถรางไปแล้วเลี้ยวขวาตรงสี่แยกใหญ่ที่มีป้ายรถราง Lasipalatsi เดินตามถนน Mannerheimintie อีกไม่ไกลก็ถึง Eduskuntatalo
Eduskuntatalo คืออาคารรัฐสภาของฟินแลนด์ตั้งอยู่ในย่าน Töölö รอบๆ อาคารมีรูปปั้นของบุคคลสำคัญของประเทศหลายท่าน เช่น Kyösti Kallio ประธานาธิบดีคนที่ 4 ของฟินแลนด์
มองตรงไปก็เห็นยอดแหลมของ Suomen kansallismuseo (National Museum of Finland) หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติฟินแลนด์อยู่ไม่ไกล
ก่อนถึงพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติมีถนนทางซ้ายมือชื่อ Aurorankatu เดินเข้าไปแล้วเลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวาเลี้ยวซ้ายลัดเลาะขึ้นเนินไปยังยัง Temppeliaukion kirkko (Temppeliaukio Church)
ช่วงนี้อธิบายทางยากคงต้องดู google map ประกอบด้วยนะครับ
Temppeliaukion kirkko หรือที่รู้จักกันว่า Rock Church โบสถ์คริสต์นิกายลูเธอรันออกแบบโดยทีมสถาปนิกและสองพี่น้อง Timo และ Tuomo Suomalainen สร้างโดยการขุดเจาะโพรงหินแกรนิตเข้าไปสร้างเป็นโบสถ์อยู่ภายใน โบสถ์หินทรงกลมหน้าตาประหลาดที่มองยังไงก็ไม่เหมือนโบสถ์นี้เปิดใช้ในปีค.ศ. 1969
วันและเวลาเปิด-ปิดไม่แน่นอนครับ ถ้าโชคดีก็จะได้เข้าชมภายในโบสถ์
จ่ายค่าเข้าชมโบสถ์ 3 ยูโร นั่งพักหลังเดินมาไกล เอ้ย! ไม่ใช่ๆ นั่งสงบจิตสงบใจสักครู่ครับ 😉
จากนั้นออกจากโบสถ์เดินไปทางขวาอ้อมฐานโบสถ์เล็กน้อยแล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Sammonkatu ออกไปยังถนนใหญ่ เลี้ยวขวาไปที่ป้าย Sammonkatu ตอนแรกกะจะขึ้นรถรางสาย 2 (3 ป้าย) ไปลงที่ป้าย Ooppera ใกล้กับ Suomen Kansallisooppera (Finnish National Opera) หรือโรงอุปราการแห่งชาติฟินแลนด์ (ค่าตั๋ว raitiovaunulippu 2.50 ยูโร ซื้อจากเครื่องขายตั๋วเท่านั้น) แล้วเดินตรงต่ออีกไม่ไกลก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Sibeliuksenkatu ตรงยาวไปจนเข้าเขตสวนสาธารณะชื่อ Topeliuksen puisto ตรงต่อไปอีกจนถึงสามแยกใหญ่ เลี้ยวขวาเดินอีกไม่ไกลก็จะเห็น Sibelius-monumentti อยู่ในสวน Sibeliuksen puisto ทางซ้ายมือ (รวมระยะทางประมาณ 1 กิโลเมตร)
แต่คิดไปคิดมา เปลืองตังค์ค่ารถอ่ะ นั่งรถรางแล้วก็ต้องเดินอีกกิโลนึงอยู่ดี เลยตัดสินใจเดินตรงตามถนนใหญ่ชื่อ Runeberginkatu ไปจนถึงแยกตัว Y แยกซ้ายเข้าถนน Topeliuksenkatu (ถนนที่ไม่มีทางรถราง) ตรงยาวไปจนถึงสวน Topeliuksen puisto ก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Sibeliuksenkatu (เหมือนเส้นทางเดินตอนแรก) ตรงต่อไปอีกจนถึงสามแยกใหญ่ เลี้ยวขวาเดินอีกไม่ไกลก็จะเห็น Sibelius-monumentti (ระยะทางประมาณ 1.6 กิโลเมตร)

อนุสาวรีย์ Sibelius คีตกวีเอกของฟินแลนด์นี้ออกแบบเป็นแท่งเหล็ก 600 แท่งหล่อเป็นรูปออร์แกนลมขนาดใหญ่ เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ จะเห็นรายละเอียดลวดลายที่ช่างฝีมือบรรจงสลักอย่างงดงามครับ
จุดนี้คือที่เที่ยวสุดท้ายของเฮลซิงกิครับ ใกล้จะ 4 โมงเย็นแล้ว ได้เวลากลับเข้ากลางเมือง
เดินกลับทางเดิมตามถนนใหญ่ผ่านสามแยกเดิมไปขึ้นรถเมล์สาย 24 ที่ป้าย Sibeliuksenpuisto รถเมล์จะมาถึงป้ายตอน 15.51 น.
ขึ้นรถไปซื้อตั๋ว kertalippu (single ticket) จากคนขับรถ ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 3.20 ยูโร (2.90 ยูโร เมื่อซื้อจากเครื่องขายตั๋วก่อนขึ้นรถ) ตั๋วชนิดนี้สามารถใช้เดินทางได้ไม่จำกัดจำนวนครั้งและประเภทรถภายในเวลา 1 ชั่วโมงนับจากเวลาที่ใช้ครั้งแรก
นั่งไม่นานก็ลงที่ป้าย Lasipalatsi แล้วเดินไปที่สี่แยกใหญ่เลี้ยวซ้ายไปก็เห็นสถานีรถไฟกลาง Rautatieasema Järnvägsstation อยู่ไม่ไกล เดินไปยังด้านหน้าสถานีรถไฟ
เหลือเวลาอีกเกือบ 2 ชั่วโมงก่อนจะต้องเดินทางไปท่าเรือเพื่อขึ้นเฟอร์รี่ไป Tallinn ประเทศเอสโตเนีย
ไม่มีอะไรเที่ยวแล้ว เลยเดินตามเส้นทางเดิมกลับไปที่ Senaatintori (Senate Square) จัตุรัสที่ตั้งของ Helsingin tuomiokirkko หรือ Helsinki Cathedral อีกครั้ง
เดินเข้าถนนช้อปปิ้งกลางเมืองชื่อ Aleksanterinkatu หาร้านอาหารรับประทานแถวๆ นี้เลย
6 โมงเย็น เดินกลับไปเอากระเป๋าเดินทางที่ฝากไว้ที่สถานีรถไฟ แล้วเดินออกจากสถานีไปที่ป้ายรถราง Rautatieasema (ฝั่งใกล้สถานีรถไฟ) ซื้อตั๋ว raitiovaunulippu จากเครื่องขายตั๋วราคา 2.50 ยูโร
นั่งรถรางสาย 7 (7 ป้าย) ไปลงสุดทางที่ป้าย Länsiterminaali T2 แล้วเดินเข้าอาคารท่าเรือ Länsiterminaali West Terrminal 2 (LT2)
ควรไปถึงท่าเรือก่อนเวลาเรือออกไม่น้อยกว่า 30 นาทีนะครับ
เราซื้อตั๋วเรือ Helsinki-Tallinn ของบริษัท Tallink รอบ 19.30 น. ทางออนไลน์ล่วงหน้าจาก www.tallinksilja.com ในราคาใบละ 34 ยูโร เรือเวลานี้เป็นเรือ Star ซึ่งจะออกจากท่าเรือนี้ ในเว็บไซต์ที่ซื้อตั๋วจะแจ้งว่าเรืออะไรออกจากท่าเรือใดบ้าง ต้องอ่านให้ดีๆ นะครับ
เช็คว่าเรือออกจากท่าเรือใดได้ที่ Tallink Terminal
ท่าเรือนี้ปรับปรุงใหม่ ดูทันสมัย กว้างใหญ่ เป็นระเบียบ มีร้านอาหารด้วย แตกต่างจาก 6 ปีที่แล้วที่ผมนั่งเรือจาก Helsinki ข้ามทะเลไป Tallinn เช่นกัน
แต่เรือ Star นี้แทบไม่มีที่นั่งส่วนกลางครับ ผู้โดยสารต้องเข้าไปใช้บริการร้านอาหารต่างๆ ในเรือถึงจะมีที่นั่ง ดังนั้นขอให้รีบขึ้นเรือและขึ้นไปชั้นบนๆ หาที่นั่งถ้าไม่อยากเสียตังค์ค่าอาหารหรือไม่ก็ยังไม่ต้องกินอะไรแล้วขึ้นเรือไปกินมื้อเย็นครับ
ก้มหน้าเล่นเน็ตไป 2 ชั่วโมง สามทุ่มครึ่งเรือก็เข้าจอดที่ท่าเรือ Tallinn D-Terminal ประเทศ Estonia
ออกจากท่าเรือมองไปทางขวาก็เห็นป้าย Hotel Euroopa แล้ว เดินราว 400 เมตรไปเช็คอินที่โรงแรม
ห้องพักสำหรับ 2 คนคืนนี้ราคา 72 ยูโร ไม่มีอาหารเช้า ถือว่าราคากลางๆ มีหลายโรงแรมราคาถูกกว่าเล็กน้อย แต่ที่นี่ทำเลดีที่สุดในกรณีที่เดินทางมาถึงโดยเรือเฟอร์รี่และจะออกจาก Tallinn โดยรถบัสครับ
คืนนี้ค้างที่ Tallinn 1 คืน พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินเที่ยวชมเมืองหลวงของประเทศเอสโตเนีย
*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต