กลับมาสวิสอีกครั้ง ต้องนั่งรถไฟ scenic train ยาวสุดสายเลย
รีวิวเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ตอนสุดท้ายนี้จะรวมเรื่องราวเที่ยว 2 วัน คือ
วันที่ 8 (ใช้ Swiss Travel Pass วันที่ 7) นั่งรถไฟสายชมวิวขบวน Glacier Express จากเมือง Zermatt ไปสุดสายที่เมือง St. Moritz ค้าง 1 คืน
วันที่ 9 (ใช้ Swiss Travel Pass วันสุดท้าย) นั่งรถไฟสายชมวิวขบวน Bernina Express จากสถานี Alp Grüm ไปสุดสายที่เมือง Tirano ของอิตาลี โดยช่วงจาก St. Moritz ถึง Alp Grüm ใช้รถไฟขบวนท้องถิ่นซึ่งวิ่งในเส้นทางเดียวกับขบวนพิเศษ

อ่านรีวิวตั้งแต่วันแรกที่ Zürich ไล่เรียงไปจนถึง Zermatt จาก link ที่ให้ไว้นี้เลยครับ
ซัมเมอร์อินสวิตเซอร์แลนด์ ตอนที่ 1 เที่ยวเอง “Zürich” อีกทีก็มีมุมใหม่ให้ถ่ายรูป
ซัมเมอร์อินสวิตเซอร์แลนด์ ตอนที่ 2 เที่ยวเอง “Luzern – Bürgenstock” เมืองสวยตลอดกาลสุดฮิตกับรีสอร์ทวิวปังสุดฮอต
ซัมเมอร์อินสวิตเซอร์แลนด์ ตอนที่ 3 เที่ยวเอง “Schilthorn” ยอดเขาวิวสวยตะโกน จุดชม Top of Europe แบบเต็มตา
ซัมเมอร์อินสวิตเซอร์แลนด์ ตอนที่ 4 เที่ยวเอง “Jungfraujoch” ที่สุดในยุโรป นั่งรถไฟขึ้นยอดเขาสู่สถานี Top of Europe
ซัมเมอร์อินสวิตเซอร์แลนด์ ตอนที่ 5 เที่ยวเอง “Oeschinensee – Aletsch Glacier – Saas-Fee” ทะเลสาบวิวว้าว – ธารน้ำแข็งอลัง – หมู่บ้านมาร์มอตน่ารัก
ซัมเมอร์อินสวิตเซอร์แลนด์ ตอนที่ 6 เที่ยวเอง “Zermatt” เมืองในฝันจุดชมยอดเขา Matterhorn ที่สวยที่สุด
ดูเส้นทางของทริปทั้งหมดได้จากแผนที่นี้ครับ
วันที่ 8 ในสวิส
นั่งรถไฟ Glacier Express สุดสายจากสถานี Zermatt ถึง St. Moritz

ก่อนอื่นต้องอธิบายให้เข้าใจก่อนครับว่ารถไฟจาก Zermatt ไปถึง St. Moritz หรือเมืองอื่นระหว่างทาง แต่ละวันมีหลายขบวนหลายเวลา วิ่งบนรางเดียวกัน
เมื่อ search เวลารถไฟสวิตเซอร์แลนด์ทาง www.sbb.ch จะโชว์เวลารถไฟทุกขบวนตั้งแต่เวลาที่เลือก
เวลาที่มีแถบสีแดงเขียนว่า PE คือขบวนพิเศษ Glacier Express เป็นรถไฟตรงซึ่งต้องจองที่นั่งออนไลน์ล่วงหน้า ควรจองนานเป็นเดือนก่อนวันเดินทางด้วยเพราะที่นั่งอาจจะเต็มหรือไม่ได้นั่งด้วยกัน
ส่วนเวลาอื่นที่มีจุดสีดำ 3-4 จุด หมายถึงต้องเปลี่ยนขบวนที่สถานีต่างๆ 3-4 ขบวน คลิกที่เวลานั้นจะโชว์ว่ากี่โมงเปลี่ยนที่สถานีอะไรบ้าง
เราเลือกขบวน Glacier Express เวลา 09.52 น. พอคลิกดูรายละเอียดก็จะเห็นไอคอนตัว I (Information) ด้านล่างตามรูป
รถไฟขบวนพิเศษนี้ต้องซื้อตั๋วราคาเต็มหรือจองที่นั่งถ้ามี Swiss Travel Pass ที่ www.glacierexpress.ch
เลือก Starting point และ Destination กด CHOOSE
คลิก Classic Glacier Express เลือกสถานีต้นทางและปลายทางอีกครั้ง วันที่จะเดินทาง และประเภทขบวน 1st Class หรือ 2nd Class แล้วกดปุ่ม Next
ระบบก็จะโชว์ราคาสำหรับ 1 คน เปลี่ยนจำนวนผู้เดินทางได้
สมมติเลือก 2nd Class ราคาตั๋วปี 2022 คือ 152 CHF (1st Class 268 CHF) ยังไม่รวมค่าจองที่นั่ง
เลือกเวลา 08.52 หรือ 09.52 น. ราคาจะบวกค่าจองที่นั่งเพิ่มอีกที่นั่งละ 49 CHF (ช่วง High season ตั้งแต่ 14 พ.ค.-23 ต.ค.) เลือกโบกี้และเลขที่นั่งที่ต้องการ แล้วกดปุ่ม Next
หน้าต่อไปจะเห็นราคารวมทั้งหมด (201 CHF) ให้กรอกชื่อ นามสกุล วันเกิด แล้วเลือกตรง Reduction คือมีบัตรส่วนลดอะไรใช้ลดราคาได้ เราเลือก Swiss Travel Pass ราคาก็จะลดลงเหลือแค่ค่าจองที่นั่ง 49 CHF เท่านั้น กดปุ่ม Next
เลือกตรง Additional Services ว่าจะสั่งอาหารจานเดียว (Dish of the day) เนื้อหรือมังสวิรัติ ราคา 34 CHF หรือจะเลือกแบบ 2 คอร์ส 40 CHF, 3 คอร์ส 47 CHF, 4 คอร์ส 52 CHF ราคาเดียวกันทั้งเนื้อและมังสวิรัติ แล้วดำเนินการขั้นต่อไปจนเสร็จ
สรุป ถ้ามี Swiss Travel Pass จะเสียเฉพาะค่าจองที่นั่ง 49 CHF + ค่าอาหาร 1 จาน 34-52 CHF แล้วแต่เลือก
ถ้าไม่อยากนั่งสุดสาย 7 ชั่วโมง 45 นาที ก็สามารถเลือกลงที่สถานีระหว่างทางได้ ราคาตั๋วเต็มก็จะแตกต่างไปตามระยะทางใกล้ไกล
ส่วนค่าจองที่นั่งคิดราคาตาม Long journey หรือ Short journey และ Low season หรือ High season (ไม่คิดตามชั้นของรถไฟ)
อัพเดทราคาตั๋วแต่ละเส้นทางและค่าจองที่นั่งได้ที่ www.glacierexpress.ch/travel-planning/prices
อ่านข้อมูลสำคัญและรายละเอียดต่างๆ มานานแล้ว
ถึงเวลาไปเที่ยวกันแล้วครับ
เราใช้ Swiss Travel Pass ชั้น 1 เลือกที่นั่ง 1st Class ซึ่งอยู่โบกี้ท้ายสุด เดินใกล้ที่สุด
รถไฟขบวน Glacier Express 904 ออกจากสถานีรถไฟ Zermatt เวลา 09.52 น.
รถไฟสายนี้ได้ชื่อว่าเป็นรถไฟ express ที่ช้าที่สุดในโลก 55
ระยะทางจาก Zermatt ถึง St. Moritz 291 กิโลเมตร ผ่าน 291 สะพาน ลอดอุโมงค์ 91 แห่ง ใช้เวลานานถึงเกือบ 8 ชั่วโมง
นั่งโบกี้ชั้น 1 จะถ่ายรูปตอนอยู่ในรถไฟได้สวยเพราะอยู่ท้ายขบวนทำให้มองเห็นหลายโบกี้ข้างหน้าตอนรถไฟเข้าโค้ง
เส้นทางช่วงแรกๆ ตั้งแต่ Zermatt ผ่านสถานี St Niklaus, Brig, Fiesch ยังไม่มีอะไรเท่าไหร่
พอเลยสถานี Fiesch ไปก็เห็นภูเขา ทุ่งหญ้า บ้านเรือนแบบสวิส และ Goms Bridge สะพานแขวนที่เราไปเที่ยวมาเมื่อ 3 วันก่อน
รถไฟแล่นช้าๆ ตลอดทางให้ได้ดื่มด่ำวิวภูเขาอัลไพน์สองข้างทางผ่านกระจกใสบานใหญ่เปิดโล่งเกือบหมดอย่างเต็มที่ เสพวิวสวิสให้ฟินไปเลยครับ
รถไฟพ้นเขตรัฐ Valais เข้าสู่รัฐ Uri
นั่งเพลินๆ ไม่นานก็เห็นหมู่บ้าน Andermatt อยู่ข้างล่าง
จากนั้นก็ได้เวลารับประทานอาหารที่สั่งไว้
รถไฟเข้าสู่เขตรัฐสุดท้ายคือ Graubünden (Grisons)
หมู่บ้านสวยที่รถไฟผ่านคือ Disentis/Mustér ซึ่งมีโบสถ์เด่นชื่อว่า Kloster Disentis เห็นได้แต่ไกล
โบกี้ชั้น 2 อยู่ข้างหน้า กระจกใสแต่ไม่กว้างเท่าชั้น 1 ครับ
รถไฟเข้าจอดที่สถานี Chur ซึ่งเป็นสถานีต้นทางรถไฟสาย Bernina Express ที่เราจะนั่งวันพรุ่งนี้ แต่นั่งไม่สุดสายเหมือนขบวน Glacier Express
รถไฟจอดอยู่นานเลย พอออกจากสถานี Chur ขบวนชั้น 1 กลายเป็น 2 โบกี้หน้าสุดเฉยๆ
นั่งไปเกือบชั่วโมงคอยฟังประกาศและดู Google map ว่าใกล้ถึงสถานี Filisur รึยัง
ถ้าอยากถ่ายรูปมุมไฮไลต์ของรถไฟ Glacier Express ต้องลุกเดินไปขบวนชั้น 2 ล่วงหน้าก่อนนานหน่อยเพื่อจองทำเลถ่ายรูปจากหน้าต่างก่อนที่คนอื่นจะมาปักหลังจอง
เราเดินไปโบกี้ชั้น 2 หลังสุดเพื่อจะได้ถ่ายเห็นรถไฟทั้งขบวน แต่มีคนจองหน้าต่างรอถ่ายรูปอยู่แล้ว เลยต้องขยับมาอีกโบกี้ที่ว่างอยู่ เปิดหน้าต่างรอถ่ายรูปสะพาน Landwasser Viaduct ข้ามเขาเข้าอุโมงค์ทะลุหน้าผาเข้าไปยังสถานี Filisur ที่ยังเห็นโบกี้ข้างหน้าหลายตู้อยู่
เดินกลับไปโบกี้ชั้น 1 พอหมดโบกี้ชั้น 2 ต้องผ่านโบกี้อาหาร พนักงานทักว่ามีอะไรให้ช่วยมั้ย? เราตอบว่าไม่มี แล้วเดินไปโบกี้ที่นั่งของเรา พอมานึกดีๆ ว่าเค้าถามทำไมก็น่าจะเป็นเพราะห้ามคนที่นั่งอยู่โบกี้ชั้น 2 เดินไปโบกี้ชั้น 1 แต่คนอยู่โบกี้ชั้น 1 เดินไปชั้น 2 ได้แน่เลย
นั่งอีกเกือบชั่วโมงรถไฟก็เดินทางมาถึงสถานีสุดทาง St. Moritz ในเวลา 17.37 น. ใช้เวลาทั้งหมด 7 ชั่วโมง 45 นาที
ที่พักของเราชื่อว่า Hotel Laudinella อยู่ห่างจากสถานีรถไฟ 1.8 กม. แต่มีรถรับ-ส่งบริการฟรี ขึ้นรถของโรงแรมแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว
เช็คอินเข้าไปเก็บของที่ห้องก่อน
โรงแรมระดับ 4 ดาว ห้องดูเรียบหรูด้วยวัสดุจากไม้ มีวิวภูเขาเขียวขจีให้ชม
เลย 5 โมงเย็นแล้ว ร้านค้าในเมืองปิดแล้ว แต่ก็ขอเข้าเมืองไปเดินชมความหรูหราซะหน่อย
ออกจากโรงแรมมีป้ายรถเมล์สาย 9 อยู่ สามารถนั่งไปสถานีรถไฟและขึ้นเขาเข้าตัวเมือง St. Moritz ได้ แต่เย็นแล้วไม่มีรถเมล์แล้ว
เดินนิดเดียวไปที่ป้าย St. Moritz Bad, Hallenbad ซึ่งมีรถเมล์สาย 1, 6, 9 เข้าเมืองไปที่ป้าย St. Moritz, Schulhausplatz ตอนเย็นเหลือแค่สาย 1 สายเดียว (search เวลาจาก Google map ได้เลย ตรงเป๊ะ) ใช้ Swiss Travel Pass ขึ้นฟรี แต่คนขับรถไม่ได้ขอดูอะไรเลย
บริเวณกลางเมือง St. Moritz ไม่มีแลนด์มาร์คอะไร อาคารเด่นๆ มีแค่ Kulm Hotel, หอเอน Schiefe Turm และโบสถ์ Reformierte Kirche St. Moritz ซึ่งอยู่ใกล้ๆ กันหมด
เดินเล่นตามถนน Via Maistra และ Via Veglia แป๊บเดียวก็หมดแล้ว
นั่งรถเมล์สาย 1 จากป้าย St. Moritz, Schulhausplatz เหมือนเดิมกลับโรงแรม
ระหว่างทางเห็นมุมนึงสวยมาก แถวป้ายรถเมล์ St. Moritz Bad, Via Aruons แต่ลงไม่ทัน รถเมล์ขับลงเขาผ่านไปเลยจ้า
มื้อเย็นวันนี้รับประทานที่ร้านอาหารไทยของโรงแรมชื่อว่า Siam wind เจอแต่อาหารฝรั่งมาหลายวันติด คิดถึงรสชาติจัดจ้านของไทยฟู้ดแล้วแหละ
ที่นี่มีร้านอาหารไทยและอินเตอร์ทั้งหมด 5 ร้าน ให้เลือกได้ตามใจชอบเลย
ค้างคืนที่ St. Moritz
วันสุดท้ายของทริปแล้ว
เช้าวันนี้เราจะออกไปเดินริมทะเลสาบ St. Moritzersee เริ่มตรงสะพานไม้ (Wood Bridge View) และเดินเลียบทะเลสาบไปยังพิกัด Holzskulptur ใน Google map ระยะทางประมาณ 1.6 กิโล แล้วเดินกลับโรงแรมขึ้นรถไปสถานีรถไฟ St. Moritz เพื่อนั่งรถไฟไป Diavolezza
St. Moritz (Sankt Moritz ในภาษาเยอรมัน) คือเมืองรีสอร์ทหรูบนภูเขาอัลไพน์สูง 1,800 เมตรในรัฐ Graubünden
รอบเขตเมืองโอบล้อมด้วยภูเขาสูง ด้านล่างเมืองติดทะเลสาบ ทำให้เมืองนี้กลายเป็นสถานที่พักผ่อนและทำกิจกรรมกลางแจ้งทั้งในฤดูร้อนและฤดูหนาว ช่วงหน้าร้อนคนนิยมมาตากอากาศ เดินเขา วิ่งเทรล หรือขี่จักรยาน ส่วนหน้าหนาวเป็นจุดหมายยอดนิยมสำหรับเล่นสกี โดยเคยเป็นเจ้าภาพจัดโอลิมปิกส์ฤดูหนาวถึง 2 ครั้งคือในปีค.ศ. 1928 และ 1948

ความสวยงามของ St. Moritz ไม่ได้อยู่ที่บ้านเมืองในตัวเมือง แต่อยู่ที่วิวริมทะเลสาบที่เห็นบ้านเมืองริมทะเลสาบและบนภูเขาด้านหลัง เพราะฉะนั้นเราถึงเลือกที่พักอยู่ใกล้ด้านใต้ของทะเลสาบจะได้ออกมาเดินเลียบริมทะเลสาบถ่ายรูปตอนเช้าๆ ซึ่งถ้ามีแดดก็จะเกิดเงาบ้านหลากสีและภูเขาสะท้อนบนผิวน้ำของทะเลสาบอย่างสวยงาม
จากพิกัด Holzskulptur ที่มุมทะเลสาบ เดินเกือบ 2 กิโล กลับโรงแรม
เช็คเอาท์และขึ้นรถของโรงแรมไปสถานีรถไฟ St. Moritz
ไป Diavolezza และ Tirano
เส้นทางรถไฟนี้ก็ไม่แตกต่างจากสาย Glacier Express ที่มีรถไฟหลายเวลาหลายขบวนวิ่งบนรางเดียวกัน
ตอน search เวลารถไฟสวิตเซอร์แลนด์ทาง www.sbb.ch จะโชว์เวลารถไฟทุกขบวนตั้งแต่เวลาที่เลือก
เวลา 09.17 น. มีแถบสีแดงเขียนว่า PE คือขบวนพิเศษ Bernina Express เป็นรถไฟตรงซึ่งต้องจองที่นั่งออนไลน์ล่วงหน้า ให้คลิกไปที่เวลานั้นแล้วกดเข้าไปจองที่ www.berninaexpress.ch
ส่วนขบวนที่เป็นรูปรถไฟและมีตัว R คือขบวนรถไฟท้องถิ่น ใช้ Swiss Travel Pass ขึ้นฟรี ไม่ต้องจองที่นั่งครับ
ช่วงแรกจากสถานี St. Moritz เราจะนั่งรถไฟท้องถิ่นตอน 09.48 น. ไปลงที่สถานี Bernina Diavolezza ใช้เวลา 40 นาที ยังไม่นั่งขบวน Bernina Express ซึ่งถ้าขึ้นๆ ลงๆ ต้องเสียค่าจองที่นั่งใหม่อีก
ระหว่างทางพอเลยสถานี Morteratsch ไปหน่อยก็เห็นวิวภูเขาหิมะ Munt Pers และธารน้ำแข็งสวยมากกก
เดินไปสถานีเคเบิ้ลคาร์ Bernina Diavolezza
ขึ้นเคเบิ้ลคาร์รอบ 10.40 น. ไปยังสถานี Diavolezza ใช้เวลา 15 นาที
ค่าเคเบิ้ลคาร์ขึ้นและลงสำหรับผู้ใหญ่อายุ 18 ปีขึ้นไป ราคา 44 CHF เลือกแบบรวมมื้อกลางวันที่ Berghaus Diavolezza ด้วย ราคา 56 CHF (Swiss Travel Pass ไม่ได้ส่วนลด)
อัพเดทข้อมูลได้ที่ www.engadin.ch
ถ่ายรูปวิวสวยๆ ระหว่างขึ้นเขาให้ชมครับ
Diavolezza คือแอ่งของเทือกเขาบนความสูง 2,958 เมตรซึ่งเป็นสกีรีสอร์ทชื่อดังในเขต Pontresina
บนเขาเป็นที่ตั้งของ Berghaus Diavolezza ที่พักและร้านอาหารซึ่งเป็นจุดชมวิวยอดเขา Piz Morteratsch สูง 3,751 เมตรจากระดับน้ำทะเล, Piz Palü สูง 3,899 เมตร, Piz Bernina สูง 4,048 เมตร ซึ่งเป็นยอดเขาเดียวในเทือกเขาแอลป์ตะวันออกที่สูงเกิน 4,000 เมตร และธารน้ำแข็ง Persgletscher (Pers Glacier)
เราจองห้องและเวลาใช้จากุซซี่ไว้เลยต้องรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าลงแช่น้ำอุ่นๆ ท่ามกลางวิวภูเขาหิมะอลังการแบบนี้
จองห้องพักและใช้จากุซซี่ได้ที่ www.corvatsch-diavolezza.ch
แช่เสร็จก็ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงไปรับประทานอาหารกลางวัน
สั่ง Kalbsschnitzel Wiener Art หรือ Veal cutlet Viennese style มาลองครับ
บ่ายโมง ลงเคเบิ้ลคาร์กลับไปที่สถานี Bernina Diavolezza
ตอนบ่ายต้นไม่มีรถไฟขบวน Bernina Express ไป Tirano (มีตอน 16.06 น.) เลยต้องขึ้นขบวนท้องถิ่นเวลา 13.23 น. 19 นาที ไปที่สถานี Alp Grüm
เช็คตารางเวลารถไฟสวิตเซอร์แลนด์ได้ที่ www.sbb.ch
ใช้เวลาระหว่างรอรถไฟกว่าครึ่งชั่วโมงดักถ่ายรูปรถไฟขบวนอื่นที่กำลังขึ้นเขามา
ขึ้นรถไฟขบวนพิเศษ Bernina Express ที่จองที่นั่งไว้เรียบร้อยตอน 14.18 น. จากสถานี Alp Grüm ไป Tirano
Bernina Express คือรถไฟสายชมวิวที่เชื่อมต่อเมือง Chur (คัวร์) กับเมือง Tirano (ติราโน) ทางเหนือของอิตาลี ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในเส้นทางรถไฟที่มีวิวสวยที่สุดในโลก รวมทั้งเป็นเส้นทางรถไฟสายเก่าแก่ที่สุดของสวิตเซอร์แลนด์โดยเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1910
รถไฟสายนี้แล่นบนความสูงเหนือระดับน้ำทะเลประมาณ 2,253 เมตร ถือเป็นเส้นทางรถไฟที่สูงที่สุดในยุโรป รถไฟจะค่อยๆ วิ่งไต่ระดับข้ามภูเขา จุดสูงสุดอยู่ที่ Ospizio Bernina ซึ่งสูงถึง 2,553 เมตร
ระยะทางตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางรวม 121 กิโลเมตร ผ่าน 196 สะพาน และ 55 อุโมงค์

ตั๋วรถไฟ Chur – Tirano ชั้น 2 ราคา 63 CHF, ชั้น 1 ราคา 111 CHF + ค่าจองที่นั่ง 26 CHF
ตั๋วรถไฟ St. Moritz – Tirano ชั้น 2 ราคา 32 CHF, ชั้น 1 ราคา 56 CHF + ค่าจองที่นั่ง 26 CHF
ตั๋วรถไฟ Alp Grüm – Tirano ชั้น 2 ราคา 18.60 CHF, ชั้น 1 ราคา 32.60 CHF + ค่าจองที่นั่ง 26 CHF
ซื้อตั๋วและจองที่นั่งได้ที่ www.berninaexpress.ch
เลือกต้นทาง ปลายทาง วันที่จะเดินทาง ชั้น 1 หรือ 2 กด Continue
เลือกจำนวนผู้เดินทาง ขบวนเวลารถไฟ หมายเลขที่นั่ง กด Continue
กรอกชื่อ นามสกุล วันเกิด ตรงช่อง Discount จะมีส่วนลดประเภทต่างๆ ให้เลือก เลือก Swiss Travel Pass ราคาก็จะเหลือแค่ค่าจองที่นั่ง 26 CHF
รถไฟขบวน Bernina Express ออกแบบสำหรับการชมวิวสองข้างทางโดยเฉพาะ โดยใช้กระจกบานใหญ่เปิดโล่งไปถึงหลังคาให้เพลิดเพลินกับวิวธรรมชาติกันแบบเต็มอิ่มไปเลย
ที่นั่งชั้น 1 ว่างทั้งโบกี้ เลือกทำเลถ่ายรูปเหมาะๆ ได้ตามสบายครับ
ตลอด 1 ชั่วโมงเศษบนรถไฟ เราแทบไม่ได้นั่งอยู่กับที่เลย เดินไปเดินมาหามุมถ่ายรูปสวยๆ ที่เห็นวิวทั้งป่าไม้ ทะเลสาบ ภูเขา เมืองและหมู่บ้านเล็กๆ ถ้ามาหน้าร้อนก็จะเป็นสีเขียวขจี ถ้ามาหน้าหนาวก็จะกลายเป็นสีแดงของขบวนรถไฟตัดกับสีขาวโพลนของหิมะ บอกเลยว่าสวยทุกฤดูครับ
ช่วงไฮไลต์ของเส้นทางนี้คือ Kreisviadukt Brusio หรือ Brusio Spiral Viaduct สะพานรถไฟที่วนรอบเป็นวงกลมในเขตหมู่บ้าน Brusio
พอเห็นหมู่บ้าน Brusio ก็ต้องเตรียมเดินไปท้ายขบวนซึ่งเป็นโบกี้ชั้น 1 จะได้ถ่ายรูปขบวนรถไฟยาวโค้งวนตามทางรถไฟรูปวงกลมได้เต็มๆ
15.31 น. เดินทางถึงสถานีรถไฟ Tirano
สุดสายรถไฟ Bernina Express ที่เมืองติราโน ประเทศอิตาลี
*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต