เที่ยวเองเข้าสู่วันรองสุดท้ายในไอซ์แลนด์ของทริป “เก็บเกี่ยว..เที่ยวสแกนดิเนเวีย” แล้วครับ
เช้าวันที่ 7 นี้เราจัดแผนเที่ยวทางภาคใต้ของไอซ์แลนด์ไว้สบายๆ แค่ 3 ที่คือหมู่บ้าน Vík í Mýrdal, น้ำตก Skógafoss, น้ำตก Seljalandsfoss และไปพักค้างคืนที่ South Central Motel ใกล้เมือง Selfoss รวมระยะทางขับรถ 210 กิโลเมตรเท่านั้น วันท้ายๆ แล้วไม่ต้องขับรถไกลมากเพราะใกล้กลับถึงเมืองหลวง Reykjavík แล้ว
แนะนำให้อ่านรีวิวทั้งหมดตั้งแต่ตอนแรกของทริปซึ่งจะทำให้ได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์และเข้าใจเรื่องราวที่ต่อเนื่องกันทุกตอนก่อนจะมาถึงตอนนี้นะครับ
เที่ยวเอง..เที่ยวอีก “Copenhagen” เมืองที่มีความสุขที่สุดในโลก
ที่สุดธรรมชาติอันบริสุทธิ์ Faroe Islands ตอนที่ 1 “Gásadalur” ตะลึงวิวน้ำตกดิ่งลงมหาสมุทรที่หมู่บ้านไกลสุดเกาะ
ที่สุดธรรมชาติอันบริสุทธิ์ Faroe Islands ตอนที่ 2 “Tórshavn – Kirkjubøur – Gjógv – Klaksvík” วันเดียวเที่ยวทั่วหมู่เกาะแฟโร
7.5 วัน ครบทุกฟีลรอบเกาะ Iceland วันที่ 1 “Reykjavík” เมืองหลวงที่ใกล้ขั้วโลกเหนือที่สุดในโลก
7.5 วัน ครบทุกฟีลรอบเกาะ Iceland วันที่ 2 “แช่น้ำแร่..ดีต่อใจ ที่ Blue Lagoon และชมน้ำตก Kirkjufell อันโด่งดัง”
7.5 วัน ครบทุกฟีลรอบเกาะ Iceland วันที่ 3 “แสงเหนือครั้งแรกในชีวิตที่ North Iceland”
7.5 วัน ครบทุกฟีลรอบเกาะ Iceland วันที่ 4 “ออโรร่าระเบิดเต็มฟ้า และ น้ำตกที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุโรป”
7.5 วัน ครบทุกฟีลรอบเกาะ Iceland วันที่ 5 “Seyðisfjörður ฟยอร์ดแห่งไอซ์แลนด์”
7.5 วัน ครบทุกฟีลรอบเกาะ Iceland วันที่ 6 “ทะเลสาบน้ำแข็ง ชายหาดน้ำแข็ง และทุ่งธารน้ำแข็ง สมชื่อไอซ์แลนด์”
โปรแกรมเที่ยววันนี้สบายๆ ครับ เราจึงได้นอนถึง 8 โมงเช้า เมื่อวานไม่มีโอกาสแวะซูเปอร์มาร์เก็ตซื้อวัตถุดิบมาทำกับข้าวเพิ่ม เช้านี้จึงต้องอาศัยตัวช่วยคือบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปและโจ๊กที่พกติดตัวเผื่อไว้ยามฉุกเฉิน 55
9 โมงครึ่ง ออกจากที่พัก Hörgsland Cottages ขับรถตามทางหลวงวงแหวนรอบเกาะสาย 1 ไปไม่นานก็เห็นทุ่งหินลาวากว้างใหญ่ยาวหลายกิโลตลอดสองข้างทาง บริเวณนี้เรียกว่า Þjóðvegur หรือ Mossy Lava rock (ใกล้หมู่บ้าน Kirkjubæjarklaustur) ชอบจุดไหนหาที่จอดรถลงไปถ่ายรูปเล่นได้เลยครับ แวะลงไปแป๊บเดียวก็เดินทางต่อไปที่หมู่บ้าน Vík í Mýrdal อีกประมาณ 60 กิโลเมตร
ข้อมูลเพิ่มเติม
เส้นทางนี้มีรถบัสสาย 20a ออกจาก Skaftafell Service Centre 12.30 น. ผ่านหมู่บ้าน Kirkjubæjarklaustur มาถึง Vík í Mýrdal 14.30 น. ค่าตั๋วรถบัสราคา 5,500 ISK (ประมาณ 1,600 บาท) รถบัสจะเลยต่อไปผ่านหมู่บ้าน Skógar ใกล้น้ำตก Skógafoss, น้ำตก Seljalandsfoss, เมือง Selfoss และ Hveragerði ไปสุดทางที่ Reykjavík ในเวลา 19.20 น. ค่าตั๋วรถบัสคิดตามระยะทาง
เช็ควัน-เวลา ราคา และเส้นทางรถบัสได้ที่ Iceland bus
Vík í Mýrdal หรือ Vík หมู่บ้านเล็กๆ ที่อยู่ทางใต้ของเกาะไอซ์แลนด์ห่างจากกรุงเรคยาวิกประมาณ 180 กิโลเมตร มีชื่อเสียงจากการเป็นจุดพักชมวิวสำคัญในเส้นทางการขับรถชมทัศนียภาพรอบเกาะ โดดเด่นจากทุ่งดอก Lupine พืชดอกสกุลลูพินนัสที่มีสีสันหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็น เหลือง ชมพู แดง ม่วงน้ำเงิน ม่วงแดง และขาว ซึ่งปลูกกันอย่างแพร่หลายทั่วหมู่บ้าน
แต่ฤดูนี้ดอกไม้เหี่ยวเฉาไปหมดแล้ว สภาพเป็นแบบนี้ครับ 555
พอถึงตัวหมู่บ้านลูกเห็บก็ตกลงมาอย่างหนัก เราจึงต้องหลบเข้าซูเปอร์มาร์เก็ตแวะซื้อของไปทำกับข้าว ซื้อตุนสำหรับทำกิน 3 มื้อเลยคือมื้อเย็นวันนี้ มื้อเช้าและกลางวันพรุ่งนี้ จ่ายตลาดไป 5,200 ISK (ประมาณ 1,550 บาท) เฉลี่ย 5 คน 3 มื้อ ตกมื้อนึงจ่ายแค่คนละ 100 บาทนิดๆ เองครับ ถูกพอๆ กับกินข้าวที่บ้านเราเลย
ลูกเห็บและฝนหยุดตกแล้ว ขับรถขึ้นเนินทางขวามือไปยัง Víkurkirkja โบสถ์ประจำหมู่บ้าน
ขับขึ้นไปอีกนิดก็ถึงจุดชมวิวที่มองเห็นหมู่บ้านวิคที่มีฉากหลังเป็นภูเขา Reynisfjall รวมถึงโขดหินในทะเลที่เรียกว่า Reynisdrangar
ถ่ายรูปเสร็จ ขับรถกลับลงไปในหมู่บ้านหาร้านอาหารดีๆ รับประทานบ้างหลังทำกับข้าวกินเองมาหลายมื้อติดแล้ว เราเลือกเข้าร้าน Halldórskaffi ร้านฮิปประจำหมู่บ้าน
สั่ง Hálsanefs – Sjávarréttapizza (Seafoodpizza) ถาดใหญ่ 12 นิ้ว ราคา 2,900 ISK (ประมาณ 850 บาท) และ Vigga förukona – “The Tramp” พิซซ่าแฮม เบคอน สับปะรด ไซส์เดียวกันถาดละ 2,500 ISK (ประมาณ 750 บาท) มาแบ่งกันกิน 5 คน และเครื่องดื่มตามใจชอบ เช็คบิลมื้อนี้มีค่าเสียหาย 7,300 ISK หรือเกือบ 2,200 บาท หารกันจ่ายคนละประมาณ 430 บาท แพงกว่าซื้อของมาทำอาหารกินเอง 4-5 เท่าต่อมื้อเลยครับ พ่อครัวแม่ครัวจึงเป็นบุคคลที่ขาดไม่ได้ในทริปจริงๆ 555
โฉมหน้าผู้ร่วมทริปทั้ง 5 ครับ ชักภาพร่วมกันทุกคนนิดสนึง เดี๋ยวจะนึกว่าผมมาเที่ยวคนเดียว ถถถ
อีกด้านหนึ่งของภูเขา Reynisfjall ไม่ไกลจากหมู่บ้าน Vík มีสถานที่ท่องเที่ยวอีกแห่งที่คนนิยมไปแอ็คท่าถ่ายรูปกัน นั่นคือ หาดทรายดำ Reynisfjara ที่มีถ้ำและภูเขาแท่งหินบะซอลต์มากมายเป็นจุดถ่ายรูปยอดฮิต จากถนนสาย 1 ต้องแยกซ้ายเข้าถนนสาย 215 อีกราว 6 กิโลเมตร แต่เราขี้เกียจแวะเข้าไปครับจึงขับตรงผ่านไปเลย
ขออนุญาตนำภาพมาให้ชมแทนเผื่อใครสนใจอยากไป
บ่ายโมงเศษ ขับรถไปน้ำตก Skógafoss ซึ่งอยู่ไกลจากหมู่บ้าน Vík เพียง 34 กิโลเมตร โดยใช้เส้นทางถนนรอบเกาะหมายเลข 1 น้ำตกอยู่ใกล้ถนนใหญ่เลย จอดรถแล้วเดินอีกไม่ไกลก็ถึงแล้ว
Skógafoss หรือน้ำตกสโคการ์คือน้ำตกขนาดมหึมาตั้งอยู่ห่างจากเขตหมู่บ้าน Skógar ประมาณ 5 กิโลเมตร หนึ่งในน้ำตกขนาดใหญ่ที่สุดของไอซ์แลนด์แห่งนี้เกิดจากแม่น้ำ Skógar ที่ไหลลงสู่แนวหน้าผาต่างระดับซึ่งในอดีตเป็นขอบชายฝั่งทะเล ทำให้เกิดเป็นม่านน้ำตกความสูง 60 เมตร และกว้าง 25 เมตร ด้วยความแรงของกระแสน้ำที่ไหลตกลงสู่ด้านล่างทำให้เกิดละอองน้ำฟุ้งกระจายชุ่มชื้นไปทั่วบริเวณซึ่งเหมาะแก่การเจริญเติบโตของพืชตระกูลมอสและเฟิร์นที่ขึ้นปกคลุมตามหินน้อยใหญ่ริมลำธาร ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใสจะสามารถพบเห็นรุ้งได้เป็นปกติเลย
เดินเข้าไปยังไม่ทันถึงตัวน้ำตก ลูกเห็บก็เทลงมา คราวนี้มาแรงกว่าที่ Vík อีก เม็ดใหญ่เบ้อเร่อ ตกใส่หน้าแต่ละทีรู้สึกเหมือนโดนอะไรจิกหน้าจิ๊กๆๆ เลย 555 วิ่งกระจายเผ่นหนีอย่างรวดเร็วที่สุดกลับไปหลบที่รถ สักพักก็หยุดตก
เดินกลับไปที่น้ำตกอีกครั้ง ทีนี้ได้เห็นรุ้งกินน้ำชัดเจนแม้ว่าท้องฟ้าจะไม่แจ่มใสเท่าไหร่ก็ตามครับ 🙂
ต่อไปเราจะขึ้นบันไดหลายร้อยขั้นไปบนยอดน้ำตก บันไดลื่นมากเลย ต้องเดินจับราวตลอดทางทำให้เดินขึ้นได้ช้ามาก ใช้กำลังงานเยอะเหมือนกันกว่าจะได้ชมวิวน้ำตกไหลดิ่งสู่ธารน้ำด้านล่าง แต่ก็คุ้มค่าสุดๆ ครับ
ลงบันไดเดินกลับไปที่รถ ที่เที่ยวสุดท้ายของวันนี้คือ Seljalandsfoss ขับรถตามถนนสาย 1 อีกไม่ถึง 30 กิโล แล้วแยกขวาเข้าสาย 249 อีกนิดก็ถึงแล้ว
Seljalandsfoss หรือน้ำตกเซลยาลันด์คือน้ำตกที่มีชื่อเสียงโด่งดังที่สุดแห่งหนึ่งของไอซ์แลนด์ที่มักปรากฏภาพอยู่ตามหนังสือท่องเที่ยว แสตมป์ และโปสเตอร์ส่งเสริมการท่องเที่ยวของประเทศ น้ำตกแห่งนี้เกิดจากแม่น้ำ Seljalandsá ที่ไหลมาจนสุดหน้าผาสูง 60 เมตรซึ่งในอดีตเป็นชายฝั่งทะเล
น้ำตกนี้ดูจากหน้าตรงรู้สึกธรรมดาๆ ไม่ได้สวยอะไรมาก
เพราะภาพเอกลักษณ์ของที่นี่คือต้องเดินเข้าไปที่โพรงถ้ำหลังน้ำตกแล้วถ่ายรูปจากด้านข้างและด้านหลังของน้ำตกย้อนกลับไป ขอบอกเลยว่าต้องยอมเปียกเละตั้งแต่หัวจรดเท้าถึงจะถ่ายรูปดังกล่าวได้ แนะนำให้คุ้มกันกล้องถ่ายรูปให้ดีเพราะละอองน้ำมหาศาลอาจทำลายกล้องและเลนส์พังได้ครับ
ถ้ามาในช่วงหนาวจัดหลังจากเดือนตุลาไป เจ้าหน้าที่อาจจะปิดทางไม่ให้เดินเข้าไปด้านหลังน้ำตกเพราะเส้นทางลื่นมากอาจเป็นอันตรายได้ครับ
สภาพหลังเดินออกจากด้านหลังน้ำตก เปียกโชกเบอร์นี้เบย
วางแผนมาถูกต้องแล้วครับที่จัดน้ำตกนี้เป็นที่เที่ยวสุดท้ายของวัน 4 โมงเย็น ขับรถไปเช็คอินที่ South Central Motel อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเลยดีกว่า
จากตรงนี้ขับรถตามถนนสาย 1 แล้วเลี้ยวขวาเข้าสาย 30 ระยะทางราว 67 กิโลก็ถึงแล้ว ที่พักอยู่ริมทางหลวงเลยครับ หาง่ายมากๆ
ตอนที่จองเค้าแจ้งว่าเป็นห้องพักสำหรับ 4 คน แต่ห้องกว้างอยู่ เราไม่แน่ใจว่าจะสามารถนอนได้ 5 คนมั้ยจึงจองที่พักอีกแห่งที่อยู่ไม่ไกลกันซึ่งพักได้ 5 คนเผื่อกันเหนียวไว้ ก่อนเกินกำหนดวันยกเลิกการจองฟรีค่อยยกเลิกเพราะไม่น่าจะมีใครมาจองเต็มในช่วงใกล้ๆ วันเข้าพักแล้ว
ขอมาดูห้องของ South Central Motel ซึ่งใกล้และสะดวกกว่าก่อนว่าสามารถนอนได้ 5 คนมั้ย ปรากฏว่านอนเตียงได้ 4 คน ต้องปูฟูกนอนพื้นอีก 1 คน ผมเสียสละเช่นเคยครับเพราะเป็นคนนอนง่ายหลับได้ทุกสถานการณ์ 555 เดี๋ยวคืนพรุ่งนี้ก็ได้พักที่โรงแรม 3 ดาว สบายๆ ละ
ห้องนี้มี 1 เตียงใหญ่ 1 เตียงสองชั้น ครัวพร้อมอุปกรณ์ต่างๆ โต๊ะกินข้าว และห้องน้ำในตัวครับ ราคาดีต่อใจคือคืนละ 13,788 ISK (110.50 ยูโร) หารกัน 5 คน ตกคนละไม่ถึง 900 บาท โคตรจะถูกเลยครับ 55
มื้อเย็นก็ทำอาหารกินเองตามปกติและนั่งรอเวลาถ่ายรูปแสงเหนือ
ลองเข้า Aurora forecast ดูพยากรณ์แสงเหนือก็พบว่ามีลุ้นได้เห็นอีกครั้งก่อนกลับบ้านเพราะคืนพรุ่งนี้จะพักที่โรงแรมติดสนามบินซึ่งมีโอกาสเห็นแสงเหนือน้อยมากๆ ค่ำนี้ค่าความแรงของแสงเหนือ (KP) เท่ากับ 5 เต็ม 9 ซึ่งถือว่าสูง (ค่า KP จะคงที่ตลอดทั้งวัน) และฟ้าเปิดพอสมควร มีเมฆไม่มาก แต่งตัวกันหนาวให้พร้อมและคอยเปิดประตูห้องออกไปดูว่าแสงเหนือมารึยัง
ยังไม่สองทุ่มออโรร่ามาเป็นริ้วเลยจร้า เดินออกไปตั้งขาตั้งกล้องถ่ายรูปรัวๆๆ ก่อนที่มันจะจางหายไป คนที่พักห้องข้างๆ ก็ออกมาดูและถ่ายรูปด้วยความตื่นเต้นกันใหญ่ บรรยากาศคึกคักมากๆ เลย
วันนี้เราได้เห็นแสงเหนือแบบฟินสุดๆ อีกครั้งในชีวิต สรุปแล้วตอนนี้เราอยู่ในไอซ์แลนด์ 7 คืน ได้เห็นแสงเหนือแบบชัดๆ 3 คืน และจางๆ อีก 2 คืน นับเป็นโชคดีมากๆ เลยจริงๆ บางคนอยู่ไอซ์แลนด์ 2 อาทิตย์ยังไม่ได้เห็นแสงเหนือแม้แต่ครั้งเดียวเลย ก่อนมาเที่ยวที่นี่ขอให้ไปทำบุญขอพรขอให้โชคดีก่อนนะครับ 555 ล้อเล่นๆ ^^
ทิ้งท้ายอีกครั้งครับ แสงเหนือไม่จำเป็นต้องตระเวนล่า ไม่จำเป็นต้องเฝ้ารอถึงตีหนึ่งตีสอง สองสามทุ่มก็เห็นได้ ขอให้ดูพยากรณ์อากาศและแผนที่ให้เป็น ถ้าโชคดีก็จะได้เห็นเอง แต่ถ้าไม่มีโชคขับรถล่าทั้งคืนก็ไม่เห็นหรอกครับ เอาเวลาไปนอนพักจะดีกว่า
ปล. เรื่องวิธีการดูพยากรณ์อากาศและการถ่ายรูปแสงเหนือ ผมเขียนอย่างละเอียดไว้ในรีวิววันที่ 2 และ 3 ในไอซ์แลนด์ สามารถคลิ๊ก link ด้านบนเข้าไปอ่านเพื่อให้เข้าใจแจ่มแจ้งขึ้นนะครับ 😉
*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต