เที่ยวเองกันต่อในทริป “เก็บเกี่ยว..เที่ยวสแกนดิเนเวีย” ตอนที่ 2 ของ Iceland ครับ
วันแรกที่เราเพิ่งเดินทางมาถึงไอซ์แลนด์และเดินเล่นชมเมืองหลวง Reykjavík + ข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการไปเที่ยวไอซ์แลนด์เอง สามารถอ่านได้จากรีวิวนี้ครับ
7.5 วัน ครบทุกฟีลรอบเกาะ Iceland วันที่ 1 “Reykjavík” เมืองหลวงที่ใกล้ขั้วโลกเหนือที่สุดในโลก
หรือ อยากจะเที่ยวไอซ์แลนด์ในราคาถูก ที่นี่
อ่านเรื่องราวย้อนหลังตั้งแต่ประเทศแรกของทริปคือ Denmark ต่อด้วย Faroe Islands ได้จากรีวิวข้างล่างนี้
เที่ยวเอง..เที่ยวอีก “Copenhagen” เมืองที่มีความสุขที่สุดในโลก
ที่สุดธรรมชาติอันบริสุทธิ์ Faroe Islands ตอนที่ 1 “Gásadalur” ตะลึงวิวน้ำตกดิ่งลงมหาสมุทรที่หมู่บ้านไกลสุดเกาะ
ที่สุดธรรมชาติอันบริสุทธิ์ Faroe Islands ตอนที่ 2 “Tórshavn – Kirkjubøur – Gjógv – Klaksvík” วันเดียวเที่ยวทั่วหมู่เกาะแฟโร
เข้าสู่เช้าตรู่วันที่ 2 ในไอซ์แลนด์ วันนี้เราจัดโปรแกรมไปสถานที่สำคัญเรียกว่าที่สุดของไอซ์แลนด์ที่ใครๆ ก็ไม่พลาดกันไว้ 2 แห่ง คือ Bláa lónið (Blue Lagoon) และ Kirkjufellsfoss ซึ่งเดี๋ยวจะเล่าข้อมูลแบบละเอียดและบอกวิธีการเดินทางไปให้ครับ
วันนี้เป็นวันแรกที่เราจะเช่ารถขับเที่ยวรอบเกาะไอซ์แลนด์กัน โดยทำการจองรถและจ่ายเงินค่าเช่าล่วงหน้าก่อนเป็นเดือนแล้ว เราเลือกเช่ารถของบริษัท Blue Car Rental เพราะราคาไม่แพงและที่รับรถในตัวเมือง Reykjavík อยู่ที่ถนน Klapparstígur ห่างจากอพาร์ทเมนต์แค่ 400 เมตร หาง่าย เดินไปแป๊บเดียวถึง
รถที่เลือกเช่าเป็นรถโฟร์วีล (4×4 หรือรถขับเคลื่อน 4 ล้อ) ครับเพราะจะได้ไม่ต้องกังวลเรื่องเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น
รถติดหล่ม หิมะท่วมถนน และรถประเภทนี้ใช้เดินทางเข้าไปยังน้ำตกสุดยิ่งใหญ่อย่าง Dettifoss ซึ่งเป็นเป้าหมายของเราได้ชัวร์ถ้าถนนไม่ปิด แต่จริงๆ แล้วช่วงเดือนตุลายังไม่เข้าสู่ฤดูหนาวแบบเต็มตัว ดังนั้นโอกาสเกิดพายุหิมะถล่มจนถนนบางสายต้องถูกปิดจึงมีไม่มาก ไม่จำเป็นต้องเช่ารถโฟร์วีลซึ่งมีค่าเช่าแพงกว่ารถธรรมดาพอสมควร แต่เพื่อความเซฟเราจึงเลือกเช่ารถประเภทนี้ กันไว้ดีกว่าแก้ครับ 🙂
เราไม่เลือกเช่ารถบ้าน (Go Campers) เพราะไม่อยากใช้ชีวิตลำบากต้องทนอึดอัดขดตัวนอนในรถแคบๆ ทำอาหารกินในรถซึ่งพื้นที่มันเล็กจริงๆ เก็บกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ไม่ได้ด้วย เวลาจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรือหาของที ยากลำบากครับ แถมยังมีค่าเช่ารถรวมๆ แล้วไม่ได้ถูกกว่าการเช่ารถทั่วไปขับและพักตามโฮสเทลทุกคืนเท่าไหร่ด้วย (สำหรับกรณีที่ไป 5 คน ไม่เกิน 10 วัน ยิ่งจำนวนคนน้อย และยิ่งวันมากขึ้น ก็ยิ่งแพงมากขึ้น)
ผมไม่ได้เช่ารถ Go Campers เพราะรู้ข้อมูลนี้ก่อนแล้ว และได้เข้าไปพิสูจน์ด้วยการขอดูข้างในรถจริงๆ จากกรุ๊ปคนไทย 5 คนที่เจอกันตามสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ ในไอซ์แลนด์หลายครั้ง
ขออนุญาตยืมภาพจากคนอื่นมาให้ดู จะได้เห็นภาพชัดขึ้นครับ

วิธีการเช่ารถก็ไม่ยากแต่ต้องใช้เวลาเลือกนานหน่อยเพราะต้องค่อยๆ อ่านรายละเอียดว่านอกจากค่าเช่ารถรายวันแล้วยังต้องเสียค่า option ต่างๆ เพิ่มอีกเท่าไหร่ เช่น ค่าประกันภัยหลายชนิดซึ่งบางอย่างรวมอยู่ในค่าเช่าแล้ว บางอย่างต้องซื้อเพิ่ม ค่าเพิ่มรายชื่อคนขับรถ และต้องลองเปรียบเทียบราคากันหลายบริษัทซึ่งจะมีรายละเอียดและโปรโมชั่นแตกต่างกัน สามารถเข้า google แล้ว search ว่า rental car Iceland ก็จะเห็นเว็บไซต์ของบริษัทเช่ารถต่างๆ มากมาย แนะนำให้ลองดูของบริษัทท้องถิ่นก่อนเพราะโดยมากแล้วมีราคาถูกกว่าบริษัท International มากพอสมควร แต่ความคุ้มครองดูแลตลอดระยะเวลาการเช่ารถในกรณีเกิดอุบัติเหตุต่างๆ ของบริษัทอินเตอร์จะดีกว่าเพราะมีศูนย์ช่วยเหลือฉุกเฉินอยู่รอบๆ เกาะ สามารถโทรแจ้งขอความช่วยเหลือได้ตลอดครับ
ตอนเช่ารถในเว็บไซต์ เราเลือกเป็นรถ Mitsubishi Outlander 4×4 เกียร์ออโต้ มี 7 ที่นั่ง 5 ประตู สำหรับนั่ง 5 คน และเก็บกระเป๋าเดินทาง 28 นิ้ว 3 ใบ และ 24 นิ้วอีก 2 ใบ โดยเช่าทั้งหมด 7 วัน ราคา 102,800 ISK (ตกวันละ 14,685 ISK หรือราว 4,400 บาท) + ค่าเพิ่มชื่อคนขับรถอีก 1 คน (Extras) 4,200 ISK (คิดเป็นวันๆ ละ 600 ISK หรือราว 180 บาท) + ค่าประกัน 10,500 ISK (คิดเป็นวันๆ ละ 1,500 ISK หรือราว 450 บาท) รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 117,500 ISK (ประมาณ 35,250 บาท) หารกันจ่าย 5 คน ตกคนละ 23,500 ISK = 7,057 บาท (ราคาเรียกเก็บจากบัตรเครดิตจริง) ค่าน้ำมัน ค่าผ่านทาง ค่าจอดรถ ต้องจ่ายเพิ่มเองครับ โดยแจ้งว่าจะรับรถในเมือง Reykjavík และคืนรถที่สนามบิน Keflavík ซึ่งไม่ต้องเสียค่าคืนรถต่างสถานที่อีกหลายตังค์ครับ
แนะนำให้เช่ารถใหญ่และมีน้ำหนักมากหน่อยเพราะถ้าเช่ารถเล็กๆ อาจถูกลมแรงจัดพัดรถปลิวหรือเสียการทรงตัวขณะกำลังขับอยู่ได้ อากาศที่ไอซ์แลนด์ไม่แน่นอนเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา บางครั้งลมแรงมากจนพัดประตูรถตอนเปิดประตูหักได้เลยนะครับ
เช้านี้ต้องไปรับรถตอน 8 โมงที่บริษัท Blue Car Rental ที่ถนน Klapparstígur ห่างจากอพาร์ทเมนต์ราว 400 เมตร จึงต้องรีบตื่นหน่อย ให้พี่น้องช่วยกันทำอาหารเช้ารับประทานกันเพราะผมทำไม่เป็น ขอทำหน้าที่ล้างจานแทนละกัน 555
พร้อมแล้วก็เดินลากกระเป๋าออกจากอพาร์ทเมนต์ตรงไปที่สี่แยกจุดตัดกับถนน Laugavegur ที่ผ่านไปผ่านมาเมื่อวานหลายครั้ง เลี้ยวซ้ายเดินตามเส้นทางเข้าใจกลางเมืองเหมือนเมื่อวาน ตรงไปไม่ไกลก็เลี้ยวขวาเข้าถนน Klapparstígur เดินอีกไม่กี่นาทีก็ถึงออฟฟิศของบริษัทแล้ว (แต่ตอนนี้น่าจะย้ายที่อยู่ไปไกลขึ้นแล้วนะครับ)

เข้าไปติดต่อรับรถและฟังคำอธิบายต่างๆ จากเจ้าหน้าที่
การขับรถในไอซ์แลนซ์ต้องใช้ใบขับขี่สากลเหมือนการขับในประเทศอื่นๆ ทั่วโลก ให้นำใบขับขี่ไทยแบบ smart card ที่มีข้อมูลส่วนตัวเป็นภาษาอังกฤษไปด้วย (สามารถขอทำใบขับขี่สากลได้ที่กรมการขนส่งทางบกของทุกจังหวัด ผมไปทำที่ถนนพหลโยธิน ใกล้สถานีรถไฟฟ้า BTS หมอชิต ค่าธรรมเนียม 505 บาทครับ)
รอรับรถประมาณ 15 นาที เจ้าหน้าที่สาวสวยนำรถยี่ห้อ KIA มาส่งแทนเพราะรถ Mitsubishi Outlander ที่เราจองไปมีปัญหาจากลูกค้าคนก่อน เท่าที่ดูจากสายตารถคันนี้น่าจะเล็กกว่า Mitsubishi Outlander นิดนึง แต่เป็นรถโฟร์วีลเกียร์ออโต้เหมือนกัน และใส่กระเป๋าเดินทางไซส์ใหญ่ 5 ใบของเราได้แบบพอดี๊พอดี แถมเหลือที่วางกระเป๋าสะพายได้อีกหลายใบด้วย ยัดกระเป๋าแน่นเอี้ยดมองรถหลังไม่เห็นเลย 555
เดินวนรอบคันเช็คร่องรอยตำหนิต่างๆ ก่อนตกลงรับรถ จะได้ไม่มีปัญหาถูกเคลมความเสียหายทีหลังตอนคืนรถครับ และเช็คระบบไฟและอุปกรณ์ต่างๆ ภายในรถว่าทำงานตามปกติมั้ยก่อนออกรถ
9 โมงเช้า พร้อมออกเดินทาง ที่หมายแรกของเราในวันนี้คือ Bláa lónið หรือ Blue Lagoon ที่เราจองเวลาลงแช่น้ำแร่ไว้ตอน 10.00-11.00 น. ดังนั้นจึงต้องขับรถไปให้ทันเวลาครับ
ระยะทางจากศูนย์กลางเมือง Reykjavík ถึง Blue Lagoon เกือบ 50 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถจริงไม่ถึง 1 ชั่วโมง ขับรถออกนอกเมืองไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ไป Blue Lagoon ก่อนแล้วเราค่อยขับรถเที่ยวรอบเกาะตามเข็มนาฬิกาครับ
10 โมงเช้าตามกำหนดขับรถถึง Blue Lagoon พอดี เดินเข้าไปที่ขายตั๋วยื่นใบจองที่ปรินท์จากอีเมลมาให้เจ้าหน้าที่ดู เราจองรอบ 10.00-11.00 น. แบบ Standard (ราคาถูกที่สุด) ไว้ในราคา 50 ยูโร (2,000 บาท) โดยไม่เพิ่ม option ใดๆ ค่อยมาเช่าผ้าเช็ดตัวหน้างานอีก 5 ยูโร โดยเอารองเท้าแตะมาเอง (ยิ่งจองล่วงหน้าน้อยวัน ราคาก็จะยิ่งแพงขึ้นทีละ 5 ยูโร โดยราคาจะถูกที่สุดในช่วง 1-2 ชั่วโมงแรกที่เปิดซึ่งไม่น่าจะขับรถจาก Reykjavík มาทัน และตอนเวลาใกล้ปิดซึ่งมืดแล้ว ถ่ายรูปไม่เห็นอะไรละ)
เข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า เก็บของที่ล็อคเกอร์ อาบน้ำล้างตัวก่อนลงไปแช่น้ำแร่ร้อนๆ ท่ามกลางอากาศหนาวๆ ให้อุ่นสบายกายพอดีๆ
ถ้าไม่ได้เช่ารถขับเองก็สามารถเดินทางมา Blue Lagoon ได้โดย
- จาก Reykjavík และสนามบิน Keflavík ใช้บริการรถบัสของ Reykjavik Excursions จาก Reykjavík BSÍ Umferðarmiðstöðin (Bus terminal) มีรถบัสให้บริการทุกชั่วโมงตลอดทั้งปีตั้งแต่ 08.00-18.00 น. จะขยายเวลาในช่วงเดือนพ.ค.-ต.ค. ค่ารถบัสไป-กลับ Reykjavík-Blue Lagoon ราคา 3,900 ISK (ประมาณ 1,150 บาท) ส่วนจากสนามบิน Keflavík จะมีรอบรถบัสน้อยกว่า
เช็คเวลารถบัสได้ที่ Reykjavik Excursions bus to Blue Lagoon
รายละเอียดค่ารถบัสไป-กลับ Blue Lagoon เพิ่มเติมที่ Reykjavik Excursions bus fare
- ทัวร์ของ Gray Line ราคาเริ่มต้นที่ 66 ยูโร (ราคาปี 2016) รวมค่ารถรับ-ส่งจากที่พักใน Reykjavík กับ Blue Lagoon และค่าเข้าใช้บริการแบบ Standard
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ Gray Line tour
แต่วิธีการที่น่าจะถูกกว่าคือใช้รถเมล์ของ Reykjanes Express เส้นทาง Reykjavík-Grindavík ออกเวลา 10.00, 14.00, 18.00 น. ใช้เวลา 45 นาทีถึง Blue Lagoon
เช็คตารางเวลาไปและกลับได้ที่ rexbus.is แต่ได้ข่าวว่าได้ยกเลิกเส้นทางนี้ไปแล้ว อันนี้ต้องเช็คข้อมูลกับทางบริษัทเดินรถอีกทีครับ
Bláa lónið หรือ Blue Lagoon (geothermal spa) คือสปาธรรมชาติที่ทุ่งลาวาในเขต Grindavík เมืองชาวประมงเล็กๆ ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศ Blue Lagoon อยู่ห่างจากกรุง Reykjavík ประมาณ 47 กิโลเมตร (50 นาที โดยรถยนต์) และห่างจากสนามบินนานาชาติ Keflavík 23 กิโลเมตร (20 นาที โดยรถยนต์)

น้ำแร่ที่นี่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆ มากมายโดยเฉพาะซิลิกาและกำมะถันที่ช่วยรักษาโรคผิวหนังต่างๆ ได้ น้ำแร่มีอุณหภูมิ 37-40 องศาเซลเซียสตลอดทั้งปี ในลากูนจุน้ำมากถึง 9 ล้านลิตร ระดับความลึกอยู่ที่ 0.8-1.2 เมตร จุดที่ลึกที่สุดคือ 1.6 เมตร น้ำแร่จะทำความสะอาดตัวเองทุกๆ 40 ชั่วโมง
สปาเปิดให้บริการทุกวันตลอดทั้งปีโดยแบ่งเป็นหลายช่วงวันของแต่ละเดือน รวมๆ แล้วคือตั้งแต่ 09.00-20.00 น. ช่วงที่ไปคือวันที่ 1 ก.ย.-31 ต.ค. เปิดวันจันทร์-พุธ 08.00-20.00 น., วันพฤหัสบดี-อาทิตย์ 08.00-22.00 น.
รายละเอียดเพิ่มเติมและอัพเดทข้อมูลได้ที่ visit Blue Lagoon
ค่าบริการแบ่งเป็น 3 ช่วงเดือน แต่ละช่วงเดือนแบ่งเป็น 4 ระดับของการใช้บริการคือ Standard, Comfort, Premium, Luxury ซึ่งมีค่าบริการแตกต่างกัน โดยในฤดูร้อน วันที่ 1 มิ.ย.-31 ส.ค. ราคาแบบถูกที่สุดคือ Standard 50 ยูโร ในฤดูหนาว วันที่ 1 ม.ค.-31 พ.ค. และ 1 ก.ย.-31 ธ.ค. ราคาแบบ Standard 40 ยูโร ค่าบริการแบบ Standard นี้ไม่รวมค่าเช่าเสื้อคลุมอาบน้ำ 10 ยูโร ผ้าเช็ดตัว 5 ยูโร รองเท้าแตะ 10 ยูโร ซึ่งสามารถซื้อเพิ่มตอนไปถึงได้ ส่วนราคาแบบ Comfort แพงกว่า 15 ยูโร จะได้ผ้าเช็ดตัว 5 ยูโร เครื่องดื่ม และบริการ Algae Mask เพิ่มเติม ถ้ามีกระเป๋าใหญ่มาด้วยก็สามารถฝากที่ล็อคเกอร์ได้โดยมีค่าฝากชิ้นละ 600 ISK (4 ยูโร)
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมที่ Blue Lagoon prices and packages
ต้องจองตั๋วล่วงหน้าที่ Blue Lagoon pre-booking ไม่งั้นเต็มแน่นอนครับ
เราเก็บเสื้อผ้าและทรัพย์สินต่างๆ ไว้ที่ล็อคเกอร์ในห้องแต่งตัวซึ่งให้บริการฟรีครับ พกแค่โทรศัพท์มือถือรุ่นที่กันน้ำได้ลงไปแช่น้ำแร่เพื่อถ่ายรูปคูลๆ ในลากูนอันกว้างใหญ่ อย่าเอากล้องถ่ายรูปลงไปถ่ายภาพเพราะไอน้ำอาจทำให้เลนส์พังได้ครับ เก็บไว้ในรถหรือในล็อคเกอร์ดีที่สุด คำแนะนำอีกอย่างคือคุณผู้หญิงที่ผมยาวควรมัดหรือรวบผมให้เรียบร้อยเพราะถ้าผมแช่น้ำแร่จะทำให้ผมแห้งกรอบได้ครับ
วันนี้อุณหภูมิ 10 องศาเซลเซียสและมีฝนตกบางๆ อากาศไม่หนาวนะครับ แต่ถึงแม้อุณหภูมิจะต่ำถึงขั้นติดลบก็สามารถแช่ Blue Lagoon ได้สบายเพราะน้ำแร่มีอุณหภูมิสูงพอเหมาะที่จะไม่ทำให้ร่างกายไม่สบายครับ
เราแช่บลูลากูนให้คุ้มเวลาจนถึง 11 โมงจึงขึ้นไปอาบน้ำสระผมและเป่าให้แห้ง ที่นี่มีไดร์เป่าผมให้ครับ ไม่ต้องเตรียมไปด้วย
นั่งเล่น WiFi ฟรี จิบเครื่องดื่มอุ่นๆ สักครู่ ก่อนเที่ยงก็ออกเดินทางต่อ
จุดหมายต่อไปซึ่งเป็นจุดหมายสุดท้ายของวันนี้คือน้ำตก Kirkjufellsfoss ซึ่งอยู่ใกล้เมือง Grundarfjörður ห่างจาก Blue Lagoon ประมาณ 220 กิโลเมตร น่าจะใช้เวลาเดินทางประมาณ 3 ชั่วโมง
จากตรงนี้เราจะเริ่มขับรถเที่ยวรอบเกาะตามเข็มนาฬิกาแล้วครับ เส้นทางจาก Blue Lagoon ไป Kirkjufellsfoss จะต้องขับรถย้อนกลับทางเดิมผ่านชานกรุงเรคยาวิก ถ้าเลี้ยวซ้ายก็จะกลับเข้าไปในเมืองหลวงอีกครั้ง แต่เราขับตามทางหลวงหมายเลข 41 ซึ่งเป็นเส้นทางนอกเมืองหลวงไปแวะหาอะไรกินมื้อกลางวันที่ IKEA ซึ่งรู้กันดีว่าอาหารมีราคาถูกกว่าร้านอาหารทั่วไปค่อนข้างเยอะ
ต่อคิวสั่ง meatball 5 ลูก จานละ 595 ISK (ประมาณ 175 บาท) และสะโพกไก่ชิ้นใหญ่+เฟรนช์ฟรายอีก 895 ISK (ประมาณ 260 บาท) มื้อนี้หมดไป 1,490 ISK หรือประมาณ 440 บาท ถ้าเข้าไปกินที่ร้านอาหารแบบธรรมดาๆ แค่จานเดียวต้องโดนขั้นต่ำ 1,500 ISK ครับ
บ่ายโมงกว่าๆ ขับรถกันต่อตามทางหลวงหมายเลข 41 ไม่เข้าเมืองเรคยาวิกทางซ้าย แต่ขับไปทางขวาเข้าทางหลวงหมายเลข 49 ซึ่งต่อกับ Hringvegur (Ring Road) มุ่งหน้าไปเมือง Grundarfjörður ขับตามทางหลวงหมายเลข 1 หรือถนนวงแหวนรอบเกาะ ตรงอย่างเดียวจนถึงทางแยกเข้าทางหลวงสาย 47 ทางขวามือ ถ้าไม่อยากเสียค่าผ่านทางก็ให้เลี้ยวขวาไป แต่เส้นทางนั้นต้องขับอ้อมรอบฟยอร์ดซึ่งมีระยะทางไกลกว่าการยอมจ่ายค่าผ่านทาง 1,000 ISK ลงอุโมงค์ลอดใต้ฟยอร์ดไปโผล่อีกฝั่งหนึ่งเลย เราใช้ทางลัดนี้เพื่อประหยัดเวลาและน้ำมันครับ
ขับตามทางหลวงหมายเลข 1 ต่อไปพักใหญ่จนข้ามสะพานยาวๆ ไปก็ถึงเมือง Borgarnes แวะเติมน้ำมันและพักเหนื่อยเล็กน้อย น้ำมันดีเซลที่นี่ราคาลิตรละ 187.80 ISK (ประมาณ 56 บาท) ครั้งนี้เติมไป 34.63 ลิตร = 6,504 ISK (1,950 บาท) ครับ
บ่ายนี้ฝนตกตลอด แรงบ้างปรอยบ้าง ขับรถทำความเร็วได้ไม่มาก ที่ไอซ์แลนด์จำกัดความเร็วด้วยคือไม่เกิน 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง บางช่วงที่ใกล้เขตเมืองหรือเป็นทางโค้งอันตรายก็จำกัดอยู่ที่ 30-60 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ห้ามเผลอขับเลยตัวเลขจำกัดความเร็วที่ติดป้ายอยู่เป็นระยะๆ เพราะถ้าโชคไม่ดีดันไปขับเร็วเกินตรงจุดที่มีกล้องจับความเร็วอยู่ก็จะโดนถ่ายภาพและเรียกเก็บเงินตามหลังครับ
จากจุดนี้เหลือระยะทางอีกราว 100 กิโลก็จะถึง Grundarfjörður ต้องขับรถอีกชั่วโมงเศษ
ตอนนั้นบ่าย 3 โมงแล้ว เราจะไปเช็คอินและเก็บสัมภาระไว้ที่ H5 Apartments ในเมืองเล็กๆ ชื่อ Grundarfjörður ก่อนแล้วค่อยขับรถอีกประมาณ 3 กิโลไปน้ำตก Kirkjufellsfoss ให้ทันเวลาก่อนพระอาทิตย์ประมาณ 5 โมงครึ่งเพื่อถ่ายภาพน้ำตกที่มีฉากหลังเป็นภูเขา Kirkjufell กับท้องฟ้าสีส้มยามดวงอาทิตย์ใกล้ตก จึงเร่งทำเวลากันนิดนึง
ข้อมูลเพิ่มเติม
จากสถานีรถบัส Mjódd ที่กรุง Reykjavík สามารถนั่งรถเมล์ของ Strætó สาย 57 ไปที่เมือง Borgarnes ต่อสาย 58 ไป Vatnaleið หรือ Stykkishólmur แล้วต่อสาย 82 ไปลงที่ป้าย N1 / Samkaup เมือง Grundarfjörður ได้ ค่ารถบัสรวม 4,000 ISK
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ Strætó bus
เช็คเวลารถบัสไอซ์แลนด์ได้ที่ Iceland bus, SBA-Norðurleið bus timetable
เช็คข้อมูลรถบัส West Iceland ได้ที่ West Iceland bus
4 โมงครึ่งก็ถึงอพาร์ทเมนต์ เจ้าของห้องแจ้งวิธีการเปิดห้องทางอีเมลและเรียกเก็บเงินผ่านบัตรเครดิตเรียบร้อยแล้ว เราจึงไขกุญแจเข้าห้องพักเองได้เลย
ห้องนี้ประกอบด้วยห้องนอนใหญ่ ห้องนอนเล็ก ห้องนั่งเล่นตรงกลางกว้างมาก และห้องครัวพร้อมโต๊ะกินข้าว
ห้องนี้ประกอบด้วยห้องนอนใหญ่ ห้องนอนเล็ก ห้องนั่งเล่นตรงกลางกว้างมาก และห้องครัวพร้อมโต๊ะกินข้าว พักได้ถึง 5 คน ที่พักคืนนี้ราคา 18,400 ISK (145 ยูโร) แชร์กันจ่ายคนละ 1,150 บาทครับ
เก็บข้าวเก็บของแป๊บเดียวก็ออกไปแวะซูเปอร์มาร์เก็ตใกล้ที่พักซื้อวัตถุดิบมาทำอาหารกินเองเย็นนี้และพรุ่งนี้เช้าก่อนที่ร้านจะปิด จ่ายตลาดไป 4,700 ISK (1,400 บาท) ได้ของมาทำกับข้าวสำหรับกิน 5 คนได้ถึง 2 มื้อเลยครับ
อีกไม่นานพระอาทิตย์ก็จะตก ขับรถตามทางหลวงหมายเลข 54 ไปทางตะวันตกอีกราว 3 กิโลก็ถึงที่จอดรถของ Kirkjufellsfoss

เดินขึ้นไปยังหัวน้ำตกตามเส้นทางค่อนข้างลื่น การเที่ยวไอซ์แลนด์ควรใช้รองเท้าเดินป่าที่กันน้ำได้และมีดอกยางป้องกันการลื่นนะครับ รองเท้าถือเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นที่สุดอย่างหนึ่งเลยครับ
Kirkjufellsfoss คือน้ำตกไม่สูงมากนัก ตัวน้ำตกเองอาจไม่ได้สวยงามเว่อร์วังเท่ากับน้ำตกอื่นๆ ของประเทศ แต่วิวของน้ำตกบวกกับฉากหลังที่เป็นภูเขาชื่อ Kirkjufell อย่างลงตัว จึงเกิดเป็นภาพที่งดงามจนเป็นภาพเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของไอซ์แลนด์เลยทีเดียว
Kirkjufell คือภูเขาอันโดดเดี่ยวบนคาบสมุทร Snæfellsnes ทางตะวันตกของฟยอร์ด Borgarfjörður ชื่อของภูเขานี้มีความหมายในภาษาท้องถิ่นว่า “โบสถ์ภูเขา” ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมาจากรูปทรงที่คล้ายกระดิ่งคว่ำที่ใช้ประดับในโบสถ์ โดยรอบภูเขาดังกล่าวมีความลาดชันค่อนข้างมาก รวมทั้งมีความสมดุลในทุกทิศทางซึ่งเกิดจากการกระทำของธารน้ำแข็งตั้งแต่ช่วงยุคน้ำแข็ง ทำให้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในภูเขาที่สมมาตรและสวยงามที่สุดของไอซ์แลนด์
ถ่ายรูปน้ำตกกับภูเขาทรงระกระดิ่งคว่ำในเวลาพระอาทิตย์ใกล้จะตกซึ่งสาดแสงลงมาอย่างงดงามสุดๆ ครับ
พอท้องฟ้าเริ่มมืดก็เดินกลับไปที่รถและขับกลับที่พัก ทุ่มนึงก็ถึงอพาร์ทเมนต์ มื้อเย็นวันนี้เราทำอาหารกินกันเองซึ่งช่วยประหยัดค่าอาหารจากการกินที่ร้านได้ครึ่งต่อครึ่งเลยทีเดียวครับ 😉
ค่ำนี้ไม่มีโอกาสเห็นแสงเหนือเลยเพราะบริเวณรอบๆ มีเมฆฝนทึบ สามารถเช็คสภาพอากาศเพื่อดูว่าฟ้าโปร่ง ไม่มีเมฆหนา และค่าความแรงของแสงออโรร่า (KP) สูงมั้ยก่อนออกไปล่าแสงเหนือได้ที่ Aurora forecast ครับ
สีเขียวทึบๆ แสดงว่าบริเวณนั้นมีเมฆหนา ส่วนตัวเลขแสดงค่า KP อยู่ทางขวาบน
คืนนี้จึงไม่ออกไปไหน ขอพักผ่อนให้สบายที่ Grundarfjörður 1 คืน พรุ่งนี้ก็จะเดินทางไกลกันต่อแบบยาวๆ ครับ
*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต