โคเปนเฮเกนครั้งที่ 3 จำทางได้หมดแล้ว
มาเดนมาร์กทีไร ฝนตกตลอด ครั้งนี้กลับมาแก้ตัวอีกครั้งในฤดูร้อน ดูดิ๊ ฝนมันจะตกอีกมั้ย 55
เครื่องบิน TG ลงจอดที่ København Kastrup Lufthavn หรือสนามบินนานาชาติ Copenhagen ตอนเช้าตรู่ มีเวลาเที่ยวเต็มๆ วันไปเลย
สนามบินกาสทรุปอยู่ใกล้เมืองโคเปนเฮเกนด้วย นั่งรถไฟเข้าตัวเมืองไม่เกิน 15 นาที
กดตู้ซื้อ City Pass 24 ชั่วโมง แบบ small สำหรับผู้ใหญ่ราคา 80 DKK (ประมาณ 370 บาท) เด็ก 40 DKK ตั๋วชนิดนี้ใช้ขึ้นรถไฟหรือรถไฟใต้ดินจากสนามบินเข้าตัวเมืองโคเปนเฮเกน ใช้นั่งรถไฟ รถไฟใต้ดิน รถเมล์ และเรือ harbour bus (havnebus) บางเส้นทาง ในโซน 1-4 ของเขตเมืองหลวงได้ไม่จำกัดภายใน 24 ชั่วโมง นับจากเวลาแรกที่ใช้
อัพเดทข้อมูลได้ที่ Copenhagen transportation tickets คลิกตรง What is City Pass?
แค่ค่าตั๋ว enkeltbillet 3 zoners (Single trip ticket แบบ 3 โซน) จากสนามบินเข้าเมืองเที่ยวเดียวก็ 38 DKK แล้ว นั่งรถไฟใต้ดิน/รถเมล์ในเมือง (enkeltbillet 2 zoners) อีกขาละ 24 DKK (เด็กลดครึ่งราคา) นั่งรวมกัน 3 เที่ยวก็คุ้มค่าตั๋ว 24 ชั่วโมงแล้ว
ดาวน์โหลดแผนที่รถไฟและรถไฟใต้ดินของโคเปนเฮเกนได้ที่ Copenhagen transportation map
นั่งรถไฟ Re-tog (regional train) DSB-Lines ไปลงที่สถานีรถไฟกลาง Københavns Hovedbanegård (København H)
เช็คตารางเวลารถไฟเดนมาร์กได้ที่ www.dsb.dk
ขึ้นจากชานชาลาไปที่โถงกลางของสถานีรถไฟ เลี้ยวซ้ายเดินไปทางด้านหลังสถานี ฝากกระเป๋าไว้ที่ล็อคเกอร์ ค่าฝาก 40 DKK (ประมาณ 185 บาท)
เดินออกไปด้านหน้าสถานีรถไฟ ฝั่งตรงข้ามคือสวนสนุก Tivoli เดี๋ยวค่อยเดินไปที่ประตูทางเข้าหลักทีหลังเพราะตอนนี้ยังไม่เปิด
ช่วงเช้าจะออกไปสถานที่ที่อยู่นอกวงโคจรออกไปหน่อย แล้วค่อยวกกลับเข้ามาในบริเวณศูนย์กลางเมือง
นั่งรถไฟในเมือง (S-Tog) จากสถานี København H ไปลงที่สถานี Nørreport ชุมทางรถไฟและรถไฟใต้ดินหลักอีกแห่งของเมือง แล้วเดินตามถนน Nørre Voldgade ตรงไปหน่อยพอถึงสี่แยกใหญ่ก็เห็นรั้วสวน ข้ามถนนตรงต่อตามถนน Øster Voldgade อีกราว 300 เมตรก็ถึงประตูทางเข้า Rosenborg Slot ที่มีตรามงกุฎทองคำ เดินเข้าไปถ่ายรูปปราสาทจากสวน Rosenhaven
เดินไปยังสวน Kongens Have (The King’s Garden) และด้านหน้าของ Rosenborg Slot (Rosenborg Castle) ปราสาทที่สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1606 เพื่อเป็นพระราชวังฤดูร้อนของราชวงศ์ ตัวปราสาทสร้างขึ้นในสไตล์ดัตช์เรอเนสซองส์ โดยได้ชื่อว่าเป็นผลงานทางสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญของพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 แห่งเดนมาร์ก
ถ้าอยากเข้าชมภายในปราสาทจะต้องเสียค่าเข้าชม 120 DKK สำหรับผู้ใหญ่ ปราสาทเปิดให้เข้าชมในแต่ละช่วงเดือนแตกต่างกัน
เช็ครายละเอียดได้ที่ visit Rosenborg Castle
เดินออกจากสวน Rosenhaven ทางประตูที่หัวมุมถนนตรงข้ามกับ Statens Museum for Kunst ข้ามถนนตรงไปที่ป้ายรถเมล์คนละฝั่งกับพิพิธภัณฑ์ นั่งรถเมล์สาย 23 พอรถเลี้ยวซ้ายก็ลงที่ป้าย Østerport St. (Oslo Plads) เดินย้อนไปที่สี่แยกใหญ่ ข้ามถนนตรงไปตามถนน Grønningen เลียบริมสวนไปเรื่อยๆ ระยะทางประมาณ 650 เมตรก็เลี้ยวซ้ายเข้าทางเดินแคบๆ ริมคูน้ำ ข้ามสะพานสั้นๆ ไปถ่ายรูป St. Alban’s Church โบสถ์แองกลิกันในสไตล์โกธิคประยุกต์ที่สร้างขึ้นระหว่างปีค.ศ. 1885-1887 เพื่อรองรับการขยายตัวของชุมชนชาวอังกฤษในโคเปนเฮเกน
เข้าประตูไปยังอาณาเขตของ Kastellet แนวป้อมปราการโบราณที่มีคูน้ำล้อมรอบเป็นรูปดาวซึ่งได้รับการสงวนรักษาไว้อย่างสมบูรณ์ที่สุดในเขตยุโรปเหนือ
เลี้ยวขวาเดินขึ้นเนินไปถ่ายรูปมุมนี้ที่มองเห็นโดมขนาดใหญ่ของ Frederiks Kirke (Frederik’s Church)
ในบริเวณ Kastellet มีอาคารต่างๆ ที่ส่วนมากใช้ทำกิจกรรมของกองทัพ รวมไปถึงโบสถ์ Kastelskirken และกังหันลม ปัจจุบันเปิดเป็นสวนสาธารณะให้ชาวเมืองมาพักผ่อนและออกกำลังกาย
เดินตรงผ่านอาคารสีแดงไปออกอีกประตูทางทิศเหนือ
ข้ามสะพานขึ้นบันไดไปแล้วเลี้ยวขวา เดินโค้งขวาลงเนินแป๊บเดียวก็ถึง Den Lille Havfrue (The Little Mermaid) รูปปั้นนางเงือกน้อยนั่งอยู่บนก้อนหินที่สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1909 ตามความต้องการของ Carl Jacobsen ผู้ผลิตเบียร์ชาวเดนมาร์กซึ่งเกิดความประทับใจขณะชมการแสดงละครที่สร้างจากนิทานเรื่อง The Little Mermaid จึงว่าจ้าง Edvard Eriksen ศิลปินท้องถิ่นให้สร้างงานประติมากรรมชิ้นนี้ขึ้นจนกลายเป็นสัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งที่บ่งบอกความเป็นตัวตนของประเทศเดนมาร์ก รวมทั้งเป็นสถานที่ที่ถูกถ่ายรูปมากที่สุดแห่งหนึ่งของโลก
มาโคเปนเฮเกนทุกครั้งก็ต้องถ่ายรูปนางเงือกน้อยนะ ไม่งั้นจะมาไม่ถึง! 555
เดินตามทางเดินเลียบทะเลไม่ไกลก็เห็นยอดแหลมสูงของ St. Alban’s Church ที่ถ่ายรูปก่อนเข้าป้อมรูปดาว
ข้ามสะพานเดินไปยัง Gefionspringvandet (Gefion Fountain) น้ำพุที่มีรูปปั้นขนาดใหญ่ที่สุดในโคเปนเฮเกนซึ่งสร้างขึ้นตามตำนานการเกิดเมืองแห่งนี้
เดินลงไปด้านหน้าน้ำพุ ตรงไปที่สี่แยก เลี้ยวขวาเดินตามถนน Esplanaden อีกราว 300 เมตรก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Bredgade ตรงเข้าสู่เขตศูนย์กลางเมืองไปไม่ไกลก็เห็นโบสถ์รัสเซียชื่อ Skt. Aleksander Nevskij Kirke เลยไปนิดทางขวาคือ Frederiks Kirke
Frederiks Kirke (Frederik’s Church) โบสถ์รูปทรงโดมขนาดใหญ่ที่สุดในสแกนดิเนเวียที่รู้จักกันทั่วไปว่า Marmorkirken (Marble Church) โดยมีที่มาจากวัสดุหลักที่ใช้ในการก่อสร้างนั่นคือหินอ่อน โบสถ์หลังนี้เริ่มสร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปีค.ศ. 1740 จากผลงานการออกแบบของ Nicolai Eigtved
โบสถ์เปิดให้เข้าชมได้ฟรีในวันจันทร์-พฤหัสบดี และเสาร์ ตั้งแต่ 10.00-17.00 น., วันศุกร์และอาทิตย์เปิด 12.00-17.00 น.
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit Frederik’s Church
ตอนนี้ปิดไม่ให้ขึ้นชมโดมน่าจะถึงเดือนต.ค. 2020 ปกติค่าขึ้นชมสำหรับผู้ใหญ่ 35 DKK
ออกจากโบสถ์ เดินตรงไปยัง Amalienborg Slotsplads จัตุรัสที่งดงามที่สุดแห่งหนึ่งของยุโรปซึ่งเป็นที่ตั้งของ Amalienborg พระราชวังที่ประทับของกษัตริย์แห่งเดนมาร์กที่สร้างขึ้นเมื่อกลางศตวรรษที่ 18 เพื่อเฉลิมฉลองวาระครบรอบ 300 ปีของราชวงศ์ Oldenburg หลังจากนั้นเพียงไม่กี่ปีพระราชวังแห่งนี้ถูกใช้เป็นที่พำนักของราชวงศ์หลังจากพระราชวัง Christiansborg ถูกเผาทำลายในปีค.ศ. 1794
ตรงกลางจัตุรัสมีอนุสาวรีย์ของพระเจ้า Frederick ที่ 5 ตั้งอยู่ ส่วนอาคารรอบๆ คือพระราชวังทั้งสี่และโบสถ์หนึ่งหลังซึ่งทั้งหมดถูกสร้างในสไตล์เดนมาร์กรอคโคโค
พิพิธภัณฑ์ของพระราชวังเปิดให้เข้าชมทุกวันในบางช่วงบางเดือน เวลาเปิด-ปิดแตกต่างกันในแต่ละช่วงเดือน ส่วนใหญ่แล้วจะเปิดตั้งแต่ 11.00-16.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ 95 DKK
อัพเดทข้อมูลต่างๆ ได้ที่ visit Amalienborg
เดินไปด้านหลังอนุสาวรีย์ของพระเจ้า Frederick ที่ 5 เพื่อถ่ายรูปมุมเอกลักษณ์ของโบสถ์หินอ่อน Frederiks Kirke
เดินต่อไปที่ริมน้ำแถว Amaliehaven (Amalie Garden) มองข้ามทะเลไปคืออาคาร Operaen (Copenhagen Opera House) บนเกาะ Holmen
เดินกลับไปที่จัตุรัส Amalienborg และโบสถ์ Frederiks Kirke
เดินอ้อมไปด้านหลังโบสถ์เลี้ยวซ้ายไปนิดก็ถึงร้านอาหารชื่อดังซึ่งราชวงศ์เดนมาร์กชอบมารับประทานอาหารเป็นประจำ ร้านนี้มีชื่อว่า Ida Davidsen เป็นร้านเล็กๆ ให้สังเกตป้ายสีเหลืองหน้าร้านดีๆ เมนูเด่นคือ Smørrebrød ซึ่งแปลว่าเนยและขนมปัง เมนูนี้คือ open-face sandwich เป็นอาหารสุขภาพที่ประกอบด้วยขนมปังแผ่นเล็กแผ่นเดียว โปะหน้าต่างๆ เช่น ไข่ต้ม ชีส กุ้งสด แซลมอน ผักต่างๆ ธัญพืช เป็นต้น
ถ้าอยากชิมอาหารเดนนิชแท้ๆ ควรจองโต๊ะล่วงหน้าหรือมาตอนร้านเปิด 10 โมงครึ่ง เฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ เพราะตอนเที่ยงๆ ลูกค้าเยอะตลอดครับ
เลยร้านไปแล้วเลี้ยวซ้ายกลับไปที่ถนน Bredgade (ถนนหน้าโบสถ์หินอ่อน) อีกครั้ง เลี้ยวขวาเดินอีก 300 เมตรก็เห็น Mindeankeret (Memorial Anchor) อนุสรณ์รูปสมอเรือที่สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงทหารเรือผู้กล้าและผู้เกี่ยวข้องทั้งหมดที่เสียชีวิตในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งถือเป็นสัญลักษณ์ของสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่สุดแห่งหนึ่งของเมือง นั่นก็คือ Nyhavn
Nyhavn (New Harbour) คือย่านบันเทิงริมฝั่งคลองซึ่งเรียงรายด้วยอาคารสีสันฉูดฉาดที่สร้างขึ้นระหว่างศตวรรษที่ 17 ถึงต้นศตวรรษที่ 18 แถวนี้เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และคาเฟ่ตลอดแนวความยาวของท่าเรือ
เดินเลียบริมคลองและท่าเรือไปข้ามสะพานก็เห็นวิวแบบนี้
เดินวนกลับไปที่อนุสรณ์สมอเรือ
ข้ามถนนไปยัง Kongens Nytorv (King’s New Square) จัตุรัสขนาดใหญ่ที่สุดของเมืองสร้างโดยกษัตริย์คริสเตียนที่ 5 เมื่อปีค.ศ. 1670 เพื่อเป็นจุดเชื่อมระหว่างแนวป้อมปราการกับพระราชวัง ตรงกลางจัตุรัสมีอนุสาวรีย์ของพระเจ้าคริสเตียนที่ 5 ตั้งตระหง่านอยู่
ด้านหน้าอนุสาวรีย์ของพระเจ้าคริสเตียนที่ 5 คือ Det Kongelige Teater (Royal Danish Theatre) โรงละครที่สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1874 เพื่อใช้เป็นโรงชมละครสำหรับกษัตริย์ซึ่งต่อมากลายเป็นโรงละครแห่งชาติ ปัจจุบันถูกปรับเปลี่ยนเป็นสถาบันสอนศิลปะการแสดงแขนงต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น โอเปร่า บัลเล่ต์ ดนตรีคลาสสิก และละครเวที
จัตุรัสนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างรถไฟใต้ดินเพิ่มเติมมาหลายปี แต่ตอนนี้ใกล้เสร็จแล้วจึงถ่ายรูปอาคารสวยงามรอบๆ จัตุรัสมาได้ดีขึ้นกว่าคราวก่อนมากครับ
เดินเข้าถนนด้านข้าง Hotel D’Angleterre ชื่อว่า Strøget ถนนคนเดินใจกลางเมืองที่ยาวที่สุดในยุโรปและมีชื่อเสียงอันดับต้นๆ ด้วย ถนนเส้นนี้เริ่มต้นจาก Rådhuspladsen และสิ้นสุดที่จัตุรัส Kongens Nytorv
เดินไป 400 เมตรก็ถึง Amagertorv ซึ่งมี Storkespringvandet (Stork Fountain) และอาคารสวยงามให้ถ่ายรูป
จากตรงนี้ถ้าเลี้ยวเข้าถนน Købmagergade เดินตรงไปราว 400 เมตรก็จะถึง Rundetaarn (Rundetårn) หรือ Round Tower หอคอยดูดาวที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 17 หอสูงนี้เป็นส่วนหนึ่งของ Trinitatis Kirke หรือโบสถ์ Trinitatis ปัจจุบันเปิดให้ขึ้นไปชมวิวเมืองโคเปนเฮเกนจากมุมสูง
แต่เราเดินตรงตามถนน Strøget อีกราว 500 เมตร ทางขวามือคือ Caritasbrønden (Caritas Well) หรือที่รู้จักกันว่า Caritasspringvandet น้ำพุ Caritas คือน้ำพุที่เก่าแก่ที่สุดในโคเปนเฮเกนสร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1608 โดยพระเจ้าคริสเตียนที่ 4 ที่บริเวณ Gammeltorv (Old Market) จัตุรัสที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง
ข้างหลังน้ำพุคือ Vor Frue Kirke (Church of Our Lady) หรือ Copenhagen Cathedral วิหารสไตล์นีโอคลาสสิกที่สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปีค.ศ. 1829
ถนน Strøget มีร้านค้าและร้านอาหารให้เลือกเยอะมากทั้งแพงและถูก หาร้านอาหารสำหรับมื้อกลางวันแถวนี้
เดินต่อจนสุดถนน ข้ามถนนไปยัง Rådhuspladsen (City Hall Square) ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Københavns Rådhus (Copenhagen City Hall) อาคารที่ทำการเมืองที่สร้างเสร็จสมบูรณ์เมื่อปีค.ศ. 1905 ออกแบบโดย Martin Nyrop ในสถาปัตยกรรมแบบนอร์ดิก โดดเด่นที่หอคอยสูง 105.6 เมตรซึ่งนับเป็นจุดสูงสุดในพื้นที่ใจกลางกรุงโคเปนเฮเกน
เดินผ่านอาคารที่ทำการเมืองข้ามถนนตรงเข้าถนน Vesterbrogade นิดเดียวก็ถึงทางเข้าหลักของ Tivoli สวนสนุกชื่อดังของเมืองที่สร้างมาตั้งแต่ปีค.ศ. 1843 บนเนื้อที่กว่า 20 เอเคอร์ใจกลางเมือง นับเป็นสวนสนุกที่เก่าแก่ที่สุดเป็นอันดับที่ 2 ของโลก
ภายในมีกิจกรรมหลากหลาย เช่น เครื่องเล่นแบบผาดโผนที่ทันสมัยและน่าตื่นเต้น
สวนสนุกเปิดปีละ 3 ช่วง
เช็ควันและเวลาเปิด-ปิดได้ที่ Tivoli opening hour
ค่าเข้าสวนสนุกมีหลายราคาตั้งแต่ 135 DKK
เช็คราคาค่าเข้าได้ที่ Tivoli tickets
เดินต่ออีกนิดไปเลี้ยวซ้ายที่สี่แยกก็กลับไปยังสถานีรถไฟกลาง København H
ขึ้นรถเมล์สาย 2A, 31, 37 จากป้ายฝั่งเดียวกับสถานีไปลงที่สถานีรถไฟใต้ดิน Christianshavn
หรือนั่งสาย 2A ต่อ พอรถเมล์เลี้ยวซ้ายก็ลงที่ป้าย Skt. Annæ Gade (Prinsessegade)
เส้นทางรถเมล์มีการอัพเดทพอสมควร เช็คได้ที่ Copenhagen bus routes map
ข้ามถนนเดินเข้าถนน Dronningensgade ไปทางยอดแหลมของ Vor Frelsers Kirke (Church of Our Saviour) โบสถ์ศิลปะแบบบาโรคที่สร้างขึ้นในทศวรรษที่ 1680 โดยใช้เวลาก่อสร้างและตกแต่งนานถึง 14 ปี
โบสถ์เปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่ 11.00-15.30 น.
สามารถขึ้นหอคอยไปชมวิวมุมสูงของโคเปนเฮเกนได้ทุกวัน เวลาแตกต่างกันในแต่ละช่วงเดือน หอคอยปิดในฤดูหนาวตั้งแต่วันที่ 16 ธ.ค.-ปลายเดือนก.พ. ถ้ามีฝนตกหนัก หิมะ และลมแรง หอคอยจะปิดชั่วคราว จุดนี้สวยกว่าขึ้นหอคอย Rundetaarn นะ
วันที่ 1 พ.ค.-30 ก.ย. ค่าขึ้นหอคอย 50 DKK, วันที่ 29 ก.พ.-30 เม.ย. และ 1 ต.ค.-15 ธ.ค. ลดเหลือ 35 DKK
อัพเดทข้อมูลได้ที่ visit Vor Frelsers Kirke
วันนี้โชคดี ไม่เจอฝนตกและมีแดดออก เลยได้ภาพที่อยากได้มานานแล้ว เย่!!
ออกจากรั้วโบสถ์ เลี้ยวซ้ายเดินตามถนน Prinsessegade ไม่ไกลก็เข้าประตูไปในเขต Christiania หรือ Fristaden Christiania (Freetown Christiania) ย่านชื่อดังที่เต็มไปด้วยศิลปะบนผนังกำแพงและพื้นถนน รวมถึงการแสดงแบบเปิดหมวก งานศิลปะและประติมากรรมจากความคิดสร้างสรรค์ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาการดำเนินชีวิตของชุมชนอิสระที่ตั้งขึ้นในปีค.ศ. 1971 อย่างถูกต้องตามกฎหมายแห่งนี้
ภายในบริเวณอันเสรีของเหล่าบุปผาชนนี้ดูคล้ายแหล่งเสื่อมโทรม แต่จริงๆ เป็นดินแดนที่รวมของศิลปินสตรีทอาร์ทและผู้ที่รักการใช้ชีวิตอิสระ ในนี้มีทั้งบ้าน ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านขายของทำมือเก๋ๆ
พอเดินไปถึงจุดนึง เค้าจะบอกว่าเขตนี้เข้าไปเดินเล่นได้แต่ห้ามถ่ายรูปนะ (เพราะขายและเสพกัญชากันโจ๋งครึ่มเลย) พูดเลยว่าแถวนี้ฮิปมาก ฮิปปี้นะ 555
เดินย้อนกลับไปและตรงไปออกอีกทางซึ่งเป็นทางเข้าหลักของ Christiania
เลี้ยวซ้ายเดินตามถนน Prinsessegade ผ่านโบสถ์ Vor Frelsers Kirke ไปเลี้ยวขวาที่สี่แยก เดินผ่านสถานีรถไฟใต้ดิน Christianshavn ไปนิดเป็นสะพานข้ามคลอง Christianshavns Kanal ชื่อ Børnehusbroen ตรงนี้เป็นจุดถ่ายรูปที่ได้ชื่อว่า Little Amsterdam
ตรงต่อตามถนน Torvegade ไปข้ามสะพานใหญ่แค่ 600 เมตรก็ถึงตึกเก่าแก่ที่เรียกว่า Børsen (The Stock Exchange) คือที่ทำการตลาดหุ้นที่สร้างขึ้นในสไตล์ดัตช์เรอเนสซองส์ในระหว่างปีค.ศ. 1619-1640 นับเป็นอาคารตลาดหุ้นที่มีอายุมากที่สุดของประเทศ การออกแบบอาคารได้แรงบันดาลใจจากรูปร่างของมังกร 4 ตัว ที่มีหางรวมกันอยู่ตรงกลางตั้งขึ้นเป็นยอดหอคอยสูง 56 เมตร
เลยไปนิดมีอาคารขนาดใหญ่ นั่นคือ Christiansborg Slot (Christiansborg Palace) พระราชวังสไตล์นีโอบาโรคตั้งอยู่ที่ Christiansborg Slotsplads หรือจัตุรัสคริสเตียนสบอร์กบนเกาะ Slotsholmen (Castle Islet) ซึ่งล้อมรอบด้วยคูน้ำ
ที่นี่เป็นเหมือนศูนย์กลางการปกครองทั้งหมด ภายในประกอบด้วยสถานที่สำคัญของประเทศ อาทิ รัฐสภา (Folketinget) ที่ทำการของนายกรัฐมนตรี ศาลสูงแห่งเดนมาร์ก รวมทั้งสถานที่ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ เช่น ห้องต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง
The Royal Reception Rooms ของพระราชวังเปิดให้เข้าชมในช่วงเดือนเม.ย.-ต.ค. ทุกวัน 09.00-17.00 น., พ.ย.-มี.ค. เปิดวันอังคาร-อาทิตย์ 10.00-17.00 น.
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ Christiansborg Palace opening hour
ค่าเข้าชมแบบเข้าได้ทุกห้อง (The Royal Reception Room, The Royal Kitchen, The Ruins and The Royal Stables) ราคาสำหรับผู้ใหญ่ 160 DKK ถ้าเลือกเข้าชมแต่ละห้องมีค่าเข้าแตกต่างกัน
อัพเดทข้อมูลได้ที่ Christiansborg Palace tickets
การเข้าชมรัฐสภาต้องผ่านไกด์ทัวร์ฟรี ไกด์ทัวร์ภาษาอังกฤษมีทุกวันอาทิตย์ ใช้เวลา 45 นาที ต้องจองเวลาล่วงหน้า นอกจากนี้ยังสามารถขึ้นหอคอยของรัฐสภาได้ฟรีทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์และอาทิตย์ ตั้งแต่ 11.00-21.00 น.
อ่านรายละเอียดต่างๆ และจองรอบทัวร์ได้ที่ visit Danish Parliament
เดินเข้าประตูหอคอยทะลุไปออกอีกด้านหนึ่งของอาณาเขตพระราชวัง
ตรงไปหยุดถ่ายรูปบนสะพานข้ามคลองชื่อ Marmorbroen (Marble Bridge)
ลงสะพานแล้วเลี้ยวขวาเดินผ่าน Nationalmuseet (National Museum of Denmark) พิพิธภัณฑ์ประวัติศาสตร์วัฒนธรรมที่ใหญ่ที่สุดของเดนมาร์ก
พอถึงสี่แยกใหญ่ก็เลี้ยวซ้ายเดินตามถนน Stormgade ตรงผ่านสี่แยกแรก มองไปทางขวาก็เห็น Københavns Rådhus (Copenhagen City Hall)
ตรงต่อไปอีกราว 150 เมตรก็เห็นอาคาร Ny Carlsberg Glyptotek อยู่ทางซ้าย ส่วนทางขวาคืออีกด้านของสวนสนุก Tivoli
มาเที่ยว Copenhagen กี่ที ฝนตกตลอด ครั้งนี้กลับมาอีกเป็นรอบที่ 3 เลือกมาในฤดูร้อนเลย อยากรู้ว่าฝนจะตกอีกมั้ย?
โคเปนเฮเกนครั้งนี้ ไม่ต้องใช้เวลานาน แค่วันเดียวก็เดินเที่ยวที่หลักๆ ได้ครบหมดแล้ว มารอบ 3 จำทางได้หมดแล้ว คราวนี้ฟ้าใสสวยแจ่มไปเลยด้วย
ตรงไปอีก 300 เมตรจนถึงหัวมุมสวนสนุก เลี้ยวขวาเข้าถนน Bernstorffsgade ก็กลับไปที่สถานีรถไฟกลาง København H
จบการเที่ยวชมกรุงโคเปนเฮเกนภายในวันเดียวตรงนี้ครับ
*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต