เที่ยวเอง ย้อนรอยทริป “เบเนลักซ์ – เยอรมัน – ฝรั่งเศส” อีกครั้ง
รีวิวตอนที่ 2 นี้เป็นเรื่องราวเที่ยวเองเมืองหลวงของประเทศเบลเยี่ยมคือกรุง Brussels (Bruxelles) แบบคนที่เคยไปแล้วอาจยังไม่รู้และคนที่ยังไม่เคยไปใช้เดินตามได้เลย โดยให้ข้อมูลวิธีการเดินทางและค่ารถในเมืองที่มีรายละเอียดค่อนข้างเยอะและซับซ้อนหน่อยๆ ไว้อย่างชัดเจนครับ 😉

วันแรกที่เดินทางถึงสนามบิน Brussels Zaventem โดยสายการบินไทย เราก็นั่งรถไฟไปเที่ยวเมือง Dinant ก่อนเป็นเมืองแรกของทริป
อ่านรีวิวตอนแรกจากลิ้งค์นี้ได้เลย
เที่ยวเอง BENELUX – GERMANY – FRANCE ตอนที่ 1 “Dinant, BELGIUM” เมืองริมน้ำอันงดงามดุจภาพวาด
เอาแผนที่แสดงเส้นทางทั้งทริปให้ดูประกอบนะครับ
เกือบบ่ายโมงก็นั่งรถไฟจาก Dinant เข้าเมืองหลวงโดยใช้ Eurail Global Pass ขึ้นฟรีครับ ถึงสถานีรถไฟกลาง Brussel Centraal (Bruxelles Central) เกือบบ่าย 3 โมง
ก่อนจะเริ่มเที่ยวชมกรุงบรัสเซลส์ต้องไปเช็คอินเก็บสัมภาระให้เรียบร้อย โดยจากสถานีรถไฟกลางเดินไปทางขวาตามเส้นทางใน google map ผ่าน Cathédrale Saints-Michel-et-Gudule (Sint-Michiels-en Sint-Goedelekathedraal) วิหารโรมันคาทอลิกสำคัญแห่งหนึ่งของเมืองอยู่บนเนินเขา Treurenberg ห่างจากสถานีรถไฟกลางราว 300 เมตร ไปยัง easyHotel Brussels City Centre ที่ถนน Rue d’Argent (ระยะทางประมาณ 700 เมตร)
เราจะพักที่นี่ 2 คืนครับ ราคาห้องพักสำหรับ 2 คน ราคาที่จองได้คืนละ 79 ยูโร มีห้องน้ำในตัว แต่ไม่มีอาหารเช้า ห้องเล็กแต่ก็พอซุกหัวนอนได้ 555 โรงแรมนี้ถือว่ามีราคาเบาสุดในบรรดาโรงแรมที่อยู่ในระยะเดินจากสถานีรถไฟกลางได้และอยู่ใกล้ที่เที่ยวหลักๆ ของเมือง เดินทางไปมาได้สะดวกครับ โรงแรมอื่นนี่โดนคืนนึงเกิน 100 ยูโรทั้งน้าน (โรงแรมนะครับ ไม่ใช่โฮสเทล)
จองผ่าน www.booking.com ดูแผนที่ที่ตั้งโรงแรมง่ายมาก เทียบราคาแต่ละโรงแรมจากแผนที่นั้นได้เลย จองได้รวดเร็ว นาทีเดียวเสร็จ ถ้าเกิดเปลี่ยนใจอยากพักที่อื่นก็ยกเลิกง่าย ไม่ต้องจ่ายเงินไปก่อน เลือกไปจ่ายที่โรงแรมได้ตามสะดวกครับ แต่ต้องดูเงื่อนไขว่าเป็นราคาที่ยกเลิกฟรีหรือไม่ด้วย
ทริปนี้เราจะเดินทางไปเที่ยวถึง 30 เมือง ใน 17 วัน จึงต้องใช้กระเป๋าเดินทางใบใหญ่ 28 นิ้วสำหรับจุเสื้อผ้า รองเท้า และข้าวของเครื่องใช้ต่างๆ มากมาย กระเป๋าที่เลือกใช้จึงต้องมีน้ำหนักเบา เวลายกขึ้นลงสถานีรถไฟและรถไฟใต้ดินจะได้ไม่หนักมาก แต่ก็ต้องแข็งแรงทนทานพร้อมลากไปได้ทุกที่ รับสภาพถนนของยุโรปที่มีทั้งราบเรียบและเป็นทางเดินหินขรุขระได้อย่างดี และต้องคล่องตัวเวลาเคลื่อนที่ด้วย
เดี๋ยวนี้ anello แบรนด์กระเป๋าดังของญี่ปุ่นมีกระเป๋าเดินทางด้วยนะ รุ่นที่เราใช้นี้ดีไซน์โคตรเท่ สีเขียวทหาร น้ำหนักเบา ล้อแข็งแรง ลากได้ง่ายคล่องตัวทุกทิศทาง ข้างในใหญ่ จุของได้เยอะมาก ที่สำคัญคือแทบไม่มีรอยถลอกที่ผิวกระเป๋าเลยแม้จะผ่านการขนย้ายมากมาย
พร้อมเที่ยว Brussels หรือ Bruxelles แล้วครับ
กรุงบรัสเซลส์หรือบรุสแซลส์คือเมืองหลวงของประเทศเบลเยี่ยมและของ European Union ถือเป็นเมืองศูนย์กลางหรือหัวใจของยุโรปเลยก็ว่าได้
ผมเคยมาเที่ยวเมืองนี้แล้วครั้งหนึ่งเมื่อ 11 ปีก่อน แต่สภาพอากาศไม่เป็นใจ มีฝนตกเกือบตลอด ความสวยงามของจัตุรัสกลางเมืองที่ผมรู้สึกว่าสวยงามที่สุดในโลกจึงถูกลดทอนลง สมัยนั้นยังใช้กล้องฟิล์มอยู่ รูปที่ถ่ายมาจึงเข้าขั้นแย่ครับ 555 #รูปก็จะดูวินเทจหน่อยๆ
ครั้งนี้เลยกลับมาแก้ตัวอีกที คราวนี้อากาศดี มีเมฆทึบบ้างบางเวลา แต่ฝนไม่ตกแล้ว
บรัสเซลส์เป็นเมืองขนาดใหญ่แต่สถานที่สำคัญๆ และจุดท่องเที่ยวหลักๆ อยู่ในบริเวณไม่ไกลกันนัก มีแค่ Atomium ที่เดียวที่อยู่ไกลออกไปนอกเขตใจกลางเมือง
ลองดูแผนที่ประกอบนะครับ


เราจึงเริ่มต้นด้วยการไป Atomium ก่อนเลย แล้วค่อยกลับเข้ากลางเมืองเดินเที่ยวจนไปสิ้นสุดที่ Grand Place จัตุรัสกลางเมืองที่สวยงามที่สุดในโลก (ในความคิดของผม) ก่อนพระอาทิตย์ตกพอดีๆ
วิธีการเดินทางไป Atomium ก็ไม่ยากครับ จะเริ่มต้นจากสถานีรถไฟใต้ดิน Gare Centrale (Centraal Station) ใกล้สถานีรถไฟกลาง Brussel Centraal (Bruxelles Central) ก็ได้ แต่ที่พักของเราอยู่ใกล้สถานีรถไฟใต้ดิน De Brouckère มากกว่าจึงเลือกเดินไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานีนั้น
เดินลงสถานีไปซื้อตั๋ว STIB-MIVB แบบเที่ยวเดียวคนละ 2 ใบ ราคา 2.10+2.10 ยูโรที่เคาน์เตอร์ขายตั๋ว บอกคนขายว่า single ticket ง่ายๆ ครับ
ตั๋ว STIB-MIVB แบบเที่ยวเดียวราคา 2.10 ยูโร ซื้อได้จากเคาน์เตอร์ขายตั๋วและเครื่องขายตั๋วของ BOOTIK, KIOSK, GO (ถ้าซื้อจากคนขับรถเมล์ราคา 2.50 ยูโร) ตั๋วชนิดนี้ใช้โดยสารเครือข่ายขนส่งสาธารณะ STIB-network ของบรัสเซลส์ได้ทุกประเภท สามารถเปลี่ยนสายรถภายในเครือข่ายได้ แต่ไม่สามารถใช้โดยสารรถเมล์สาย 12 และ 21 เส้นทาง Bourget-Brussels Airport ซึ่งปกติมีค่ารถเที่ยวละ 4.50 ยูโร เมื่อซื้อจากเครื่องขายตั๋วของ GO และ 6 ยูโร เมื่อซื้อกับคนขับรถเมล์
ส่วนตั๋ว STIB-MIVB 24 ชั่วโมง ราคา 7.50 ยูโร ใช้โดยสารรถไฟ รถไฟใต้ดิน รถราง รถเมล์ ในเครือข่ายขนส่งสาธารณะ STIB-network ของบรัสเซลส์ได้ไม่จำกัดภายใน 24 ชั่วโมง และสามารถใช้โดยสารรถเมล์สาย 12 และ 21 เส้นทาง Bourget-Brussels Airport ได้ด้วย
อัพเดทข้อมูลได้ที่ Brussels transportation fares
ข้อมูลเพิ่มเติม
ถ้าไม่อยากซื้อตั๋วทีละครั้งๆ ก็สามารถซื้อ MOBIB Basic card จากร้านหรือเครื่องขายตั๋วของ BOOTIK, KIOSK, SHOP หรือซื้อออนไลน์ทาง GO easy ในราคา 5 ยูโร บัตรชนิดนี้ไม่ใช่บัตรส่วนบุคคลจึงสามารถให้ผู้อื่นยืมไปใช้ได้ โดยค่ารถ JUMP ticket แบบเที่ยวเดียวราคา 2.10 ยูโร ใช้โดยสารเครือข่ายขนส่งสาธารณะ STIB-network ของบรัสเซลส์ได้ทุกประเภท สามารถเปลี่ยนสายรถภายในเครือข่ายได้ แต่ไม่สามารถใช้โดยสารรถเมล์สาย 12 และ 21 เส้นทาง Bourget-Brussels Airport ได้ และ 4.20 ยูโรสำหรับ Return trip JUMP ตั๋วชนิดนี้ใช้เดินทางไป-กลับ (2 เที่ยว) โดยเครือข่ายขนส่งสาธารณะ STIB-network ได้ภายใน 24 ชั่วโมง สามารถเปลี่ยนสายรถภายในเครือข่ายได้ ยกเว้นรถเมล์สาย 12 และ 21 เส้นทาง Bourget-Brussels Airport เช่นกัน
ส่วน MOBIB-card ซึ่งเป็นบัตรเติมเงินส่วนบุคคล (ต้องใช้รูปถ่าย) ราคาเท่ากันจะเหมาะกับผู้ที่อยู่อาศัยในบรัสเซลส์เป็นระยะเวลานานมากกว่า
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ MOBIB Basic card
JUMP ticket ชนิด 24 hours หรือ JUMP 24H ราคา 7.50 ยูโร ใช้โดยสารรถไฟ รถไฟใต้ดิน รถราง รถเมล์ ในเครือข่ายขนส่งสาธารณะ STIB-network ของบรัสเซลส์ได้ไม่จำกัดภายใน 24 ชั่วโมง และสามารถใช้โดยสารรถเมล์สาย 12 และ 21 เส้นทาง Bourget-Brussels Airport ได้ด้วย
JUMP ticket ชนิด 48 hours หรือ JUMP 48H ราคา 14 ยูโร ใช้โดยสารรถไฟ รถไฟใต้ดิน รถราง รถเมล์ ในเครือข่ายขนส่งสาธารณะ STIB-network ของบรัสเซลส์ได้ไม่จำกัดภายใน 48 ชั่วโมง และสามารถใช้โดยสารรถเมล์สาย 12 และ 21 เส้นทาง Bourget-Brussels Airport ได้เช่นกัน
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ JUMP ticket
ซื้อตั๋ว single ticket แบบใช้ได้แค่ครั้งเดียว 2 ใบก็พอครับ เพราะจำเป็นต้องนั่งรถไฟใต้ดินแค่ 2 เที่ยวเท่านั้น นอกนั้นเดินเที่ยวได้ทั่วบริเวณศูนย์กลางเมืองเลยครับ
จากนั้นนั่งรถไฟใต้ดินสาย 1 (สีม่วง) direction Gare de l’Ouest (Weststation) หรือสาย 5 (สีเหลือง) direction Erasme (Erasmus) 4 สถานีไปที่สถานี Beekkant แล้วต่อสาย 6 (สีน้ำเงิน) อีก 8 สถานีไปลงที่สถานี Heysel (Heizel) ใช้เวลาประมาณ 15 นาที
ออกจากสถานีรถไฟใต้ดินมองไปทางขวาก็เห็น Atomium แล้ว เดินอีกประมาณ 700 เมตรก็จะถึง
Atomium คือสิ่งก่อสร้างที่ทำจากเหล็กรูปอะตอมสูง 102 เมตร ตั้งอยู่ที่ Heysel Exhibition Park ทางทิศเหนือของ Grand Place ตรงข้ามกับ Mini-Europe เมืองจำลองที่ย่อส่วนสถานที่ต่างๆ ไว้ถึง 350 แห่งในกว่า 80 เมืองทั่วยุโรป
อะตอมเมียมสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นสถานที่แสดงนิทรรศการของงาน Expo 58 หรือ Brussels World’s Fair (Brusselse Wereldtentoonstelling) ที่จัดขึ้นในปีค.ศ. 1958 ออกแบบโดย André Waterkeyn และทีมสถาปนิก Polak ปัจจุบันสิ่งก่อสร้างนี้เปรียบเสมือนเป็นสัญลักษณ์ของเมืองหลวงแห่งยุโรปและเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของบรัสเซลส์
Atomium เปิดให้เข้าชมทุกวัน 10.00-18.00 น. ปิดขายตั๋ว 17.30 น. วันที่ 24 และ 31 ธ.ค. เปิดถึง 16.00 น. ปิดขายตั๋ว 15.15 น. วันที่ 25 ธ.ค. และ 1 ม.ค. เปิด 12.00-18.00 น. ปิดขายตั๋ว 17.30 น.
ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่อายุ 18-59 ปี ราคา 12 ยูโร, วัยรุ่น 12-17 ปี 8 ยูโร, เด็ก 6-11 ปี 6 ยูโร เด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบเข้าชมฟรี
ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit Atomium
เดินกลับไปที่สถานีรถไฟใต้ดิน Heysel (Heizel) ใช้ตั๋ว STIB-MIVB ที่ซื้อตั้งแต่ขามาผ่านประตูแล้วนั่งรถไฟใต้ดินสาย 6 (สีน้ำเงิน) กลับทางเดิมไปที่สถานี Beekkant ต่อสาย 1 (สีม่วง) หรือ 5 (สีเหลือง) ย้อนกลับไปอีก 6 สถานีเลยไปลงที่สถานี Parc (Park) ใน Parc de Bruxelles (Warandepark)
ออกจากสถานีเดินไปทางซ้ายตามทางรถรางบนถนนใหญ่ชื่อ Rue Royale (Koningsstraat) ไปทางอาคารขนาดใหญ่ที่ Place Royale (Koningsplein)
เดินไม่ไกลก็เห็น Palais Royal de Bruxelles (Koninklijk Paleis van Brussel) พระราชวังหลวงที่ประทับของกษัตริย์ Philippe Léopold Louis Marie แห่งเบลเยี่ยมและพระราชวงศ์ ตั้งอยู่ที่ถนน Place des Palais (Paleizenplein) ทางตะวันออกเฉียงใต้ของศูนย์กลางเมือง
เดินย้อนกลับไปที่ถนน Rue Royale เลี้ยวซ้ายเดินตามทางรถรางไปยัง Place Royale (Koningsplein) จัตุรัสใหญ่ของกรุงบรัสเซลส์ซึ่งมีโบสถ์สีขาวอลังการชื่อ Eglise Saint-Jacques-sur-Coudenberg (Kerk Sint-Jacob-op-Koudenberg) เป็นฉากหลัง
มองตรงไปไม่ไกลก็เห็นอาคารหลังคาโดมสวยงาม นั่นคือ Palais de Justice (Justitiepaleis) ศาลยุติธรรมแห่งบรัสเซลส์ เดินหรือนั่งรถรางสาย 92, 93 ไปได้
จากจัตุรัส Place Royale เดินเข้าถนน Rue Montagne de la Cour (Hofbergstraat) ตรงหน้ารูปปั้น
ผ่านอาคาร Musée Instruments de Musique (MIM) และ Pharmacie Charles Delacre นิดเดียวก็ถึงผลงานศิลปะที่เรียกว่า L’Oreille Tourbillonnante (The Whirling Ear) ของ Alexander Calder เพื่อแสดงในงาน Universal Exhibition เมื่อปีค.ศ. 1958
จุดนี้เป็นมุมเอกลักษณ์หนึ่งของบรัสเซลส์ครับ
ตอนนี้เราอยู่บนเนินเขา Mont des Arts (Kunstberg) กลางกรุงบรัสเซลส์ซึ่งมองเห็นยอดแหลมสูงของที่ทำการกรุงบรัสเซลส์ที่จัตุรัส Grand Place อยู่ไม่ไกลนัก
ลงบันไดด้านหลังของ Palais des Congrès (Paleis voor Congressen) ผ่านสวนไปยัง Place de l’Albertine (Albertinaplein) ที่อยู่ด้านล่าง
เดินไปทางขวาตามถนนใหญ่ประมาณ 100 เมตร แล้วเลี้ยวซ้ายลงเนินไปนิด ถ้าเลี้ยวขวาก็จะกลับไปยังสถานีรถไฟกลาง Brussel Centraal (Bruxelles Central) เราไม่ได้เลี้ยวขวาไปสถานีรถไฟ แต่เดินตรงต่อไปตามถนน Rue Infante Isabelle ผ่าน Chapelle de la Madeleine (Magdalenakapel) โบสถ์สไตล์โกธิคขนาดเล็กตั้งอยู่ที่ l’Agora ย่านประวัติศาสตร์ของบรัสเซลส์
ตรงต่อเข้าถนน Rue du Marché au Herbes (Grasmarkt) จนเห็นอาคาร Galeries Royales Saint-Hubert
เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสายเล็กๆ ชื่อ Rue de la Colline ไปยัง Grand Place
Grand Place หรือ Grote Markt คือจัตุรัสกลางเมืองขนาดใหญ่ศูนย์กลางของกรุงบรัสเซลส์เป็นที่ตั้งของ Hôtel de Ville de Bruxelles (Stadhuis van Brussel) หรือที่ว่าการกรุงบรัสเซลส์ซึ่งโดดเด่นด้วยหอคอยสูงเสียดฟ้า
อาคารตรงข้ามกันคือ Maison du Roi (Broodhuis) หรือ Musée de la ville de Bruxelles (Brussels City Museum) และรอบๆ ทุกทิศของจัตุรัสเรียงรายด้วยอาคารสวยงามสไตล์ยุโรปจนผมต้องขอยกให้กรองด์ปลาซเป็นจัตุรัสที่งดงามและสมบูรณ์ที่สุดในโลก
ตอนนี้ท้องฟ้าครึ้มลงแล้วแต่ยังไม่มืดเท่าไหร่ เลยขอเดินไปถ่ายรูปกับรูปปั้นเด็กน้อยยืนฉี่ซึ่งเป็นสัญลักษณ์สำคัญบรัสเซลส์ก่อน
เดินออกจากจัตุรัสทางประตูทิศใต้ (ด้านข้าง Hôtel de Ville) ที่มีรูปปั้น Everard ‘t Serclaes ซึ่งมีความเชื่อว่าถ้าใครลูบรูปปั้นนี้จะโชคดีและสมปรารถนา ผมเลยลูบบ้างครับ 🙂
ตรงต่อเข้าถนน Rue de l’Etuve (Stoofstraat) ที่มีรูปวาดการ์ตูนดังเรื่อง Tintin นักข่าวจอมสืบที่เกิดในบรัสเซลส์ ระหว่างทางให้สังเกตป้ายบอกทางไป Manneken Pis ซึ่งอยู่ที่สี่แยกจุดตัดกันของถนน Rue de l’Etuve และ Rue du Chêne (Eikstraat) และแวะชิมวาฟเฟิลที่มีร้านขายอยู่เพียบตลอดสองข้างทาง
เดินแป๊บเดียวก็เห็นรูปปั้นเด็กทารกยืนฉี่สูง 61 ซม. ที่หัวมุมถนน มีเรื่องเล่ากันว่า Manneken Pis เป็นลูกเศรษฐีที่พลัดหลงกับพ่อแม่ พ่อแม่ของหนูน้อยได้ตามหาตัวอย่างร้อนรนจนกระทั่งได้พบหนูน้อยยืนฉี่อย่างมีความสุขที่สวนเล็กๆ เศรษฐีจึงสร้างรูปปั้นน้ำพุขึ้นที่นี่เพื่อตอบแทนผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในการตามหาลูกของพวกเขา แต่บ้างก็เล่าว่าหนูน้อยตื่นขึ้นมาเพราะเกิดไฟไหม้และยืนฉี่รดดับกองไฟที่กำลังลุกไหม้พระราชวังของกษัตริย์ก่อนที่จะลุกลามใหญ่โตได้ จึงสร้างรูปปั้นเพื่อระลึกถึงเหตุการณ์ครั้งนั้น
รูปปั้นนี้เป็นรูปปั้นจำลองขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1965 โดยตัวจริงเก็บรักษาอยู่ใน Maison du Roi (Broodhuis) ที่ Grand Place
สองทุ่มกว่าแล้วแต่ฟ้ายังไม่มืดสนิท เดินกลับทางเดิมไปที่ Grand Place นั่งรอเวลาให้ฟ้ามืดและอาคารรอบๆ กรองด์ปลาซเปิดไฟเพื่อถ่ายรูปแก้ตัวจากครั้งที่แล้วที่ไม่ได้ค้างคืนที่บรัสเซลส์ครับ
เก็บภาพจัตุรัสอันงดงามอลังการงานสร้างจนสามทุ่มกว่า จุดนั้นหิวจนแสบไส้ไปหมดละ ต้องขอจัดอาหารชื่อดังของเบลเยี่ยมซะหน่อย
เดินออกจากจัตุรัสทางอาคาร Maison du Roi เข้าถนน Rue Chair et Pain (Vlees-en-Broodstraat) ตรงไปราว 200 เมตรก็เห็นร้านอาหารชื่อดังชื่อว่า Chez Léon กะจะจัดหอยแมลงภู่ของโปรดที่ร้านนี้ แต่คนเต็มร้านเลย แถมต้องจองล่วงหน้าด้วย เลยอดไปตามระเบียบครับ
กินที่ร้าน Le Bourgeois เยื้องกันแทนก็ได้ สั่ง Moules หรือหอยแมลงภู่ชามครึ่งกิโลราคา 10 ยูโรมารับประทานคู่กับไวน์ขาวรสดี คืนนี้หลับฝันดีราตรีสวัสดิ์แน่นอนครับ
อิ่มแล้วก็เดินประมาณ 300 เมตรกลับโรงแรมพักผ่อนเพราะขณะนี้ตรงกับเวลาไทยตี 4 แล้ว ยังปรับเวลาไม่ค่อยได้
มันก็จะง่วงไม่หน่อย ZzZ
*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต