เที่ยวเอง BENELUX – GERMANY – FRANCE ตอนที่ 3 “Brugge, BELGIUM” เมืองคูคลองสุดสวยจนต้องมาซ้ำ

เที่ยวเอง ย้อนรอยทริป “เบเนลักซ์ – เยอรมัน – ฝรั่งเศส” อีกครั้ง

วันแรกของทริป หลังเครื่องบินเดินทางถึงประเทศเบลเยี่ยมเราก็นั่งรถไฟจากสนามบินไปเที่ยวเมือง Dinant และกลับเข้าเมืองหลวงกรุง Brussels เที่ยวจนทั่วและค้างคืนที่นั่นครับ

อ่านที่มาที่ไปของทริป แผนเดินทางทั้งหมด และวิธีเตรียมตัวต่างๆ ได้จากรีวิว 2 ตอนแรกครับ
เที่ยวเอง BENELUX – GERMANY – FRANCE ตอนที่ 1 “Dinant, BELGIUM” เมืองริมน้ำอันงดงามดุจภาพวาด
เที่ยวเอง BENELUX – GERMANY – FRANCE ตอนที่ 2 “Brussels, BELGIUM” เมืองแห่งจัตุรัสกลางเมืองที่สวยที่สุดในโลก

วันที่ 2 ของทริป เราจะเที่ยว 2 เมืองคือ Brugge (Bruges) และ Gent (Ghent) แล้วค่ำๆ ก็กลับบรัสเซลส์ไปค้างอีก 1 คืน โดยรีวิวตอนนี้จะเป็นเรื่องราวเที่ยว Brugge เมืองเดียวก่อนนะครับ

การเดินทางไปเมืองต่างๆ ในเบลเยี่ยมนั้นสะดวกมาก นั่งรถไฟจากบรัสเซลส์หรือจากเมืองท่องเที่ยวหลักๆ ไปยังเมืองต่างๆ ใช้เวลาตั้งแต่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง นานสุดก็ประมาณ 3 ชั่วโมงครับ แต่เห็นระยะทางใกล้ๆ แบบนี้ ค่าตั๋วรถไฟเข้าขั้นแพงนะครับ เช่น ตั๋วรถไฟ Brussels-Brugge ชั้น 2 ราคา 14.70 ยูโร (ประมาณ 580 บาท) ใช้เวลาเดินทางแค่ชั่วโมงเดียว ตั๋วรถไฟ Brugge-Gent ชั้น 2 ราคา 6.70 ยูโร (ประมาณ 270 บาท) ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เป็นต้น

แต่มายุโรปตะวันตกซึ่งขึ้นชื่อเรื่องตั๋วรถไฟแพง 17 วัน วางแผนจะเที่ยว 30 เมืองคราวนี้ (ดูแผนเดินทางได้ในรีวิวตอนแรกที่ให้ link ไว้ข้างบนนะครับ) เราเตรียมพร้อมรับมือกับค่าเดินทางอันหนักหน่วงด้วยการใช้บัตรโดยสารรถไฟยุโรป Eurail Global Pass ที่ใช้โดยสารรถไฟใน 28 ประเทศยุโรปฟรีไม่จำกัดจำนวนครั้งภายใน 22 วัน ทริปนี้ต้องนั่งรถไฟหลายสิบเที่ยว มีใช้รถเมล์ท้องถิ่นบ้าง (บางคันก็ใช้ Eurail Pass ขึ้นฟรีได้) และใช้รถไฟเดินทางระหว่างเมือง/ระหว่างประเทศสะดวกกว่าและใช้เวลาน้อยกว่ารถบัส ยูเรลพาสประเภทนี้จึงเหมาะกับแผนของเราที่สุดครับ

เมื่อลองหาค่าตั๋วรถไฟจากเมืองหนึ่งไปยังอีกเมือง (point to point) แต่ละเที่ยวว่ามีราคาเท่าไหร่แล้วเอามาบวกกันทั้งหมด ผลออกมาคือค่าตั๋วรถไฟ 2^nd Class + รถเมล์ ทั้งหมดตามแผนรวมแล้วประมาณ 780 ยูโร หรือประมาณ 31,000 บาท โดยพยายามหลีกเลี่ยงรถไฟความเร็วสูงต่างๆ เช่น Thalys, ICE, TGV ซึ่งมีราคาแพงกว่ารถไฟธรรมดาเป็นเท่าตัว จะใช้แค่บางเส้นทางที่จำเป็นและลงตัวกับแผนเท่านั้น ก็ยิ่งทำให้มั่นใจว่าเราตัดสินใจไม่ผิด

Eurail Global Pass 1^st Class ที่เราใช้ราคา 766 ยูโร ถูกกว่าตั๋วรถไฟชั้น 2 ทุกขารวมกันอีกครับ 555 (ปกติต้องเสียค่าออกตั๋วอีกใบละ 800 บาท แต่ได้โปรไม่คิดค่าออกตั๋วด้วย) ทริปนี้เลยได้นั่งรถไฟชั้น 1 ที่สะดวกสบาย ไม่ต้องเสียเวลาต่อคิวซื้อตั๋วจากเคาน์เตอร์ทีละขาๆ (บางสถานีคนเยอะมากกก) หรือเข้าเว็บไปซื้อทางออนไลน์ (บางประเทศก็ต้องปรินท์เมลไปต่อคิวออกตั๋วที่สถานีรถไฟอยู่ดี) ไม่ต้องเบียดเสียดกับผู้คนในโบกี้ชั้น 2 บางขบวนในเส้นทางยอดฮิตก็แน่นจนไม่มีที่นั่งเลยครับ

บางเส้นทางที่จำเป็นต้องใช้รถไฟความเร็วสูงก็แจ้งให้ตัวแทนจำหน่ายบัตรโดยสาร Eurail Pass ในเมืองไทยอย่างเป็นทางการทำการจองที่นั่งล่วงหน้าให้ โดยต้องเสียค่าจองที่นั่งละ 10-20 ยูโรสำหรับขบวน ICE และ TGV ส่วนขบวน Thalys เส้นทาง Brussels-Amsterdam มีค่าจอง 25 ยูโร (แต่เราไม่ได้ใช้ขบวน Thalys เพราะสามารถใช้รถไฟท้องถิ่นที่ช้ากว่าไม่มากและใช้ Eurail Pass ขึ้นฟรีได้เลย) และเสียค่าบริการจองที่นั่งอีกเส้นทางละ 200 บาท แต่จะจองเองในเว็บการรถไฟของประเทศนั้นๆ ก็ทำได้ครับ

สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมและซื้อ Eurail Global Pass และ Eurail Pass ประเภทอื่นๆ รวมทั้งทำการจองที่นั่งสำหรับรถไฟขบวนด่วนพิเศษ (รถไฟความเร็วสูง) ผ่านบริษัท G.M. Tour & Travel ที่ให้คำแนะนำที่มีประโยชน์และบริการดีมากๆ ครับ

รายละเอียดเพิ่มเติมที่ Rail Europe, G.M. Tour & Travel

วันนี้เราจะใช้ Eurail Global Pass นั่งรถไฟฟรีเป็นวันที่ 2 เพราะโปรแกรมเที่ยว Brussels – Brugge, Brugge – Gent และ Gent – Brussels สามารถนั่งรถไฟท้องถิ่นได้หมดครับ

เริ่มต้นที่สถานีรถไฟกลาง Brussel Centraal (Bruxelles Central) โดยเดินจากโรงแรมมาประมาณ 700 เมตร

9 โมงตรง รถไฟขบวน IC 530 ออกจากบรัสเซลส์ นั่งโบกี้ชั้น 1 สบายๆ 1 ชั่วโมงนิดๆ ก็ถึงสถานีรถไฟ Station Brugge (Gare de Bruges) ในเวลา 10.02 น. (ปกติตั๋วรถไฟ Brussels-Brugge ชั้น 2 ราคา 14.70 ยูโร หรือประมาณ 580 บาท)

ค้นหาตารางเวลาและราคาตั๋วได้ที่ Belgium train

Brugge ในภาษาดัตช์ หรือ Bruges ในภาษาฝรั่งเศส คือเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมของประเทศเบลเยี่ยมและเมืองมรดกโลกที่โดดเด่นด้วยทิวทัศน์คลองเล็กคลองน้อยอันงดงาม รวมทั้งตึกรามบ้านเรือนน่ารักๆ สไตล์เบลเจี้ยนที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว

ออกจากสถานีรถไฟกลาง เดินไปทางซ้ายมุ่งหน้าทางทิศเหนือตามถนนใหญ่ด้านหน้าสถานีรถไฟชื่อ Buiten Begijnenvest ตรงไปจนเห็นสวนที่มีอนุสาวรีย์ของ Koning Albert 1 Laan

ตรงผ่านชุมทางรถเมล์ใหญ่ก็ถึงลานน้ำพุสวยงามเรียกว่า ‘t Zand-Konzerthhalle (แต่ตอนนี้มีการทำถนนใหม่ น่าจะทุบน้ำพุทิ้งแล้วครับ) จากตรงนี้เลี้ยวขวาเข้าถนน Zuidzandstraat ผ่านร้านค้ามากมายเข้าสู่เมืองเก่า ตรงต่อเข้าถนน Steenstraat ผ่านโบสถ์ Sint-Salvatorskathedraal ก็เห็นยอดของหอระฆัง Belfort สูงเด่นอยู่ไกลๆ

เดินมุ่งหน้าไปที่หอระฆังตรงไปราว 400 เมตรก็ถึงจัตุรัสกลางเมืองที่เรียกว่า Grote Markt หรือตลาดใหญ่ที่โดดเด่นด้วยอาคารโบราณที่มีหน้าจั่วเป็นขั้นบันไดตั้งเรียงกันอยู่

รอบๆ จัตุรัสมาร์คเป็นที่ตั้งของอาคารสำคัญประจำเมือง ได้แก่ Provinciaal Hof อาคารสถาปัตยกรรมแบบนีโอโกธิคซึ่งเป็นที่ทำการของศาลยุติธรรม และ Belfort หอระฆังประจำเมืองที่มีความสูง 83 เมตร สร้างขึ้นในช่วงยุคกลาง ถือเป็นสัญลักษณ์สำคัญหนึ่งของเมือง

หอระฆัง Belfort เปิดให้ขึ้นชมได้โดยผู้ใหญ่อายุ 26-64 ปีต้องเสียค่าผ่านประตู 10 ยูโร ตามป้ายเลยครับ

วันนี้ที่จัตุรัสมีตลาดนัดขายของกินของใช้เพียบเลย วาฟฟเฟิลน่าโดนมากกก

เดินเข้าถนนเล็กๆ ระหว่างอาคาร Provinciaal Hof กับ Belfort ที่ชื่อ Breidelstraat นิดเดียวก็ถึง Burg อีกจัตุรัสหนึ่งที่รายล้อมด้วยอาคารสถาปัตยกรรมแบบยุโรปหลากหลายรูปแบบ ทั้งเรอเนสซองส์ นีโอคลาสสิก และบาโรค ซึ่งเป็นที่ทำการของหน่วยงานราชการคือ Stadhuis หรือที่ว่าการเมืองบรูช และ Heilig-Bloedbasiliek (Sint-Basiliuskapel) หรือ Basilica of the Holy Blood

เดินออกจากจัตุรัส Burg ลอดใต้ประตูนี้ครับ

พอออกไปก็เห็นวิวคลอง Groenerei งามๆ แบบนี้

ถ้าอยากล่องเรือชมเมืองตามคลองสายต่างๆ ก็ซื้อทัวร์ได้จากบริเวณนี้ ค่าล่องเรือ 30 นาที 8 ยูโร

ข้ามสะพานสั้นๆ แล้วเลี้ยวขวาเดินตามแนวคลองแป๊บเดียวก็ถึงจุดชมวิวที่สวยที่สุดของเมือง ตรงนี้เรียกว่า Dijver ครับ

เมื่อ 11 ปีก่อนก็มาถ่ายรูปตรงนี้เหมือนกัน #ย้อนรอยประวัติศาสตร์ #กล้องฟิล์มรูปก็จะแย่หน่อยๆ 555

เดินริมคลองต่อไปทาง Eglise Notre-Dame (Onze-Lieve-Vrouwekerk) หรือ Church of Our Lady โบสถ์ที่โดดเด่นด้วยหอคอยแหลมสูงถึง 122.3 เมตร นับเป็นหอคอยที่สร้างด้วยอิฐที่สูงเป็นอันดับที่ 2 ของโลก รองจาก Martinskirche (St Martin’s Church) ที่เมือง Landshut ประเทศเยอรมัน

เดินไปจนถึงโบสถ์ Notre-Dame แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Mariastraat ตรงไปจนข้ามสะพานข้ามคลอง Bakkersrei เข้าถนน Katelijnestraat

เห็นร้าน Flemish Stew House ป้ายหน้าโชว์เมนูอาหารเบลเยี่ยมคือ Stoofvlees (Flemish beef stew) จึงเข้าร้านนี้รับประทานอาหารกลางวันเลย หน้าตาอาหารดูง่ายๆ แบบนี้ราคา 10 ยูโรนะครัช

ออกจากร้านเดินตามถนน Katelijnestraat ต่อ ตรงอีกไม่ไกลก็เลี้ยวขวาที่สามแยกเข้าถนน Wijngaardstraat เดินตรงไปจนเห็นคลองที่มีฝูงหงส์ขาวอาศัยอยู่ บริเวณนั้นเรียกว่า Begijnhof เลี้ยวขวาข้ามสะพานเข้าไปในอาณาเขตสำนักแม่ชีอันเงียบสงบ

จากนั้นเดินไปยังกลุ่มฝูงหงส์ซึ่งมีมุมถ่ายรูปสวยๆ หลายมุม

เดินริมคลองต่อไปเลี้ยวขวาข้ามสะพาน

ลงสะพานเลี้ยวซ้ายเดินเลียบริมคลอง มองไปอีกฝั่งก็เห็น Kasteel Minnewater ปราสาทริมน้ำคลาสสิกที่ปัจจุบันปรับเปลี่ยนเป็นร้านอาหารสุดหรู

เลี้ยวขวาเดินตามถนน Professor Dokter J. Sebrechtsstraat แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Oostmeers เดินข้ามคลองไปก็จะเห็นสถานีรถไฟ Station Brugge อยู่ทางซ้ายมือ (ระยะทางประมาณ 700 เมตร)

ข้ามถนนใหญ่เข้าไปในสถานีรถไฟเพื่อขึ้นรถไฟไปเมือง Gent (Ghent) ซึ่งจะออกในเวลา 14.26 น.

*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต