เยอรมันรอบที่ 5 ก็ต้องหาเมืองแปลกใหม่เที่ยว
Bavaria คือรัฐขนาดใหญ่ที่สุดของประเทศเยอรมันซึ่งมีเมืองและจุดหมายน่าเที่ยวมากมายกระจายทั่ว เราเคยไปเที่ยวเองทางตอนใต้รอบๆ Munich มา 2 ครั้งแล้ว และล่าสุดเมื่อ 4 ปีก่อนก็ได้ไปเที่ยวเมืองทางตอนเหนือของรัฐอย่าง Würzburg และ Rothenburg ob der Tauber เพิ่มด้วย
เอารีวิวตอนสุดท้ายของเยอรมันซึ่งรวมลิ้งค์รีวิวตั้งแต่ตอนแรกไว้ให้อ่านนะครับ
ตระเวน (Travel) เยอรมันใต้ ตอนที่ 4 “Munich” เที่ยวเมืองหลวงแห่งบาวาเรีย
ครั้งนี้มาเยอรมันอีกโดยเริ่มต้นที่ Frankfurt เลยขอเก็บเมืองทางเหนือของบาวาเรียขึ้นไปอีกและเมืองทางตะวันออกใกล้ชายแดนโปแลนด์และสาธารณรัฐเช็ก เลยเข้าประเทศโปแลนด์ ต่อด้วยสาธารณรัฐเช็ก วนกลับมาเข้าเยอรมัน ไปเที่ยวเมืองดังและเมืองเล็กๆ ในรัฐ Tirol และ Salzburg ของออสเตรีย และกลับเมืองไทยจาก Munich เรียกว่าเป็นทริปเก็บเกี่ยวเมืองเล็กๆ ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก เมืองที่มีชื่อเสียงระดับหนึ่ง และเมืองท่องเที่ยวชื่อดังซ้ำอีกรอบ รวมแล้ว 27 เมือง/หมู่บ้าน
ทริปนี้เป็นทริปสำหรับคนที่ไปเที่ยวยุโรปจนพรุนแล้ว 555 เลยขอไม่สรุปแผนเที่ยวเป็นรายวันนะครับเพราะคงไม่มีใครวางแผนเที่ยวแบบนี้เป๊ะหรอก เอาเป็นว่าถ้าชอบเมืองไหนค่อยเติมใส่แผนมาตรฐานของแต่ละคนเข้าไปละกันครับ 😀
ดูแผนที่เส้นทางประกอบแทนนะครับ
จากกรุงเทพฯ มีไฟลท์บินตรงไปเยอรมันทุกวันแค่ 2 เมือง คือ Frankfurt และ Munich ถ้าวางแผนจะเที่ยวทางตอนใต้ของบาวาเรียก็ให้เลือกบินลงที่ Munich แต่เราจะไปเมืองทางเหนือของบาวาเรียจึงเลือกลงที่ Frankfurt ก่อนเพราะใกล้กว่ามาจาก Munich ครับ
ทริปนี้เราบินโดยสายการบินไทย #สบายต่างกัน ซึ่งมีไฟลท์บินตรง Bangkok – Frankfurt ทุกวัน เครื่องออกตอนกลางคืน ถึงเยอรมันตอนเช้าตรู่เวลาท้องถิ่น เที่ยวต่อได้เลยทั้งวัน เวลาเยี่ยมมากๆ เหมาะกับแผนของเราที่สุดครับ
เช็คตารางเวลาและซื้อตั๋วเครื่องบินได้ที่ www.thaiairways.com
ก่อนขึ้นเครื่องขอใช้สิทธิ์บัตรทอง ROP เข้าใช้เลานจ์ของ TG หาอะไรกินรองเท้าเบาๆ ครับ พาน้องชายเข้าได้ด้วย
23.40 น. ไฟลท์ TG 920 พร้อมออกเดินทางไป Frankfurt
อีก 12 ชั่วโมงต่อมา เราเดินทางมาถึง Flughafen Frankfurt am Main หรือสนามบินนานาชาตินคร Frankfurt ก่อน 6 โมงเช้าของอีกวัน
เรามา Frankfurt หลายครั้งแล้ว ปีที่แล้วก็เพิ่งมา คราวนี้ขอไปเมืองอื่นเลย ไม่เข้าเมือง Frankfurt แล้ว
วันแรกของทริปนี้เราจะไปเที่ยว 2 เมืองไม่ดังแต่น่าสนใจของบาวาเรีย คือ Bamberg และ Coburg

หลังผ่านตม. เยอรมันที่ขอดูหลักฐานการจองที่พักทุกคืนทั้งทริปและรับกระเป๋าเดินทางเรียบร้อย เราก็เดินไปสถานีรถไฟ
สนามบิน Frankfurt ใหญ่มากๆ สถานีรถไฟอยู่คนละอาคารกับเทอร์มินอลขาเข้าแต่มีทางเดินใต้ดินเชื่อมต่อกันได้ ให้สังเกตป้ายตัว S และ T นะครับ
เดินลงตามป้ายบอกทางเลย
ถ้าจะนั่งรถไฟเข้าตัวเมืองไปยังสถานีรถไฟ Frankfurt (Main) Hbf และสถานีชานเมืองต่างๆ ก็ให้แยกไปทางป้ายตัว S (S-Bahn คือรถไฟท้องถิ่น) แต่ถ้าจะไปเมืองอื่นเลยเหมือนเราก็เดินตามป้ายตัว T
ค้นหาตารางเวลาและค่าตั๋วรถไฟเยอรมันได้ที่ www.bahn.com
โดยเลือก Frankfurt (M) Flughafen Fernbf ไปยังสถานีปลายทางต่างๆ
ทริปนี้เราวางแผนจะเดินทางด้วยรถไฟในเยอรมันเพียบจึงซื้อ German Rail Pass แบบ Flexi 7 วัน จากตัวแทนจำหน่ายในเมืองไทยชื่อ RTS ที่ตึกเสริมมิตร อโศก เพราะรวมค่ารถไฟทุกขาแล้วแพงกว่าการซื้อพาส
บัตรโดยสารรถไฟเยอรมันนี้สามารถใช้ขึ้นรถไฟในเยอรมันได้ทุกขบวน แม้แต่รถไฟความเร็วสูงขบวน ICE ซึ่งปกติราคาค่อนข้างแพง ไม่ต้องเสียค่าจองที่นั่งเพิ่ม ขึ้นรถไฟแล้วเลือกที่นั่งได้ตามใจเลย แต่ถ้าเกิดเจ้าของที่นั่งที่จองไว้ขึ้นมาก็ต้องย้ายที่นั่งให้เค้านะครับ ถ้าอยากมีที่นั่งชัวร์ๆ ก็จองจากไทยไปก่อนหรือไปจองที่เคาน์เตอร์ที่สถานีรถไฟก่อนขึ้นรถก็ได้ รู้สึกค่าจองแค่ 4-5 ยูโร ไม่ได้แพงเหมือนรถไฟ TGV ของฝรั่งเศส, Freccia… ของอิตาลี และ Thalys ที่ต้องเสียค่าจองทุกครั้งตั้งแต่ 10-20 ยูโร รวมถึงใช้นั่งรถไฟข้ามประเทศได้ถึงเมือง Salzburg และ Kufstein ของออสเตรียได้ด้วย (เราก็จะใช้เส้นทางนี้ด้วยครับ)
German Rail Pass มีทั้งแบบ Consecutive ที่ต้องใช้เดินทางต่อเนื่องทุกวัน วันไหนไม่ขึ้นรถไฟก็ถูกนับวันด้วย ราคาจะถูกกว่าแบบ Flexi ที่จะนับวันเฉพาะแค่วันที่ใช้ขึ้นรถไฟ วันไหนไม่ใช้ก็เก็บจำนวนวันไว้ได้ครับ
เช็คราคาและซื้อพาสต่างๆ ได้ที่ RTS
เราจับรถไฟขบวน ICE 525 ที่จะออกตอน 07.36 น. ทัน รถไฟด่วนนี้เป็นขบวนไป Munich (München Hbf) จึงต้องลงที่สถานีรถไฟ Würzburg Hbf ตอน 09.01 น. มีเวลาเปลี่ยนเป็นขบวน RB53 (58019) 6 นาที แต่แค่เดินไปอีกฝั่งของชานชาลาเอง ถ้ารถไฟจากต้นทางไม่เลต ยังไงก็ทันครับ
10.17 น. เดินทางถึงสถานีรถไฟ Bamberg
ฝากกระเป๋าที่ล็อคเกอร์ในสถานีรถไฟ ค่าฝากตู้ใหญ่ 3.50 ยูโร รับเฉพาะเหรียญเท่านั้น
พร้อมเดินเที่ยวชมเมือง Bamberg แล้ว
Bamberg (บัมแบร์ก) คือเมืองในเขตการปกครอง Upper Franconia ของรัฐ Bavaria ทางภาคกลางตอนล่างของเยอรมัน ตัวเมืองตั้งอยู่บนฝั่งแม่น้ำ Regnitz ใกล้กับจุดบรรจบกันกับแม่น้ำ Main โดยพื้นที่เขตเมืองเก่าได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO มาตั้งแต่ปีค.ศ. 1993
เขตเมืองเก่ารายล้อมด้วยอาคารเก่าแก่ตั้งแต่ยุคกลางมากมายโดยเฉพาะอาคารสถาปัตยกรรมสไตล์บาโรคอันงดงาม ภายในบริเวณแบ่งเป็น 3 ส่วนหลัก ได้แก่ เขตเมืองชั้นในสุด เขตเมืองบนเกาะกลางแม่น้ำ Regnitz และเขตตลาดเก่า

เดินออกไปหน้าสถานีรถไฟ ข้ามถนนตรงเข้าถนน Luitpoldstraße เห็นร้านอาหารจีนเพิ่งเปิดเลยจัดซะเลย
อิ่มแล้วเดินต่ออีกสักพักก็เลี้ยวขวาเข้าถนน Obere Königstraße ตรงไปราว 200 ก็เมตรก็เห็นสะพาน Kettenbrücke อยู่ทางซ้าย บนสะพานเป็นจุดถ่ายรูปเรียกว่า Liebesschlösser
ข้ามสะพานตรงเข้าถนน Hauptwachstraße ผ่าน Maximilianplatz เข้าสู่ถนน Grüner Markt ก็จะถึง Katholisches Pfarramt St. Martin (Kath. Pfarramt St. Martin) หรือ Martinskirche โบสถ์สถาปัตยกรรมสไตล์บาโรคแห่งเดียวในเมือง
ระยะทางจากสถานีรถไฟไกลเล็กน้อยคือประมาณ 1.4 กิโลเมตร เราลองหาว่ามีรถเมล์มาได้มั้ย แต่หาไม่ได้ครับ รู้แค่ค่ารถเมล์ราคาเที่ยวละ 1.90 ยูโร
ตรงต่อไปตามถนน Grüner Markt จนถึงสี่แยกใหญ่ ถ้าตรงต่อไปก็จะถึงสะพาน Obere Brücke ข้ามไปยัง Altes Rathaus แต่เลือกเลี้ยวขวาเข้าถนน Obstmarkt ไม่ไกลแล้วเลี้ยวซ้ายข้ามสะพาน Untere Brücke ก็จะถึงด้านหลังของ Altes Rathaus
ข้ามสะพานแล้วเลี้ยวซ้ายไปยังด้านหน้า Altes Rathaus ที่ว่าการเมืองหลังเก่าที่ได้ชื่อว่างดงามที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรปนี้สร้างขึ้นในราวปีค.ศ. 1467 บนเกาะที่สร้างขึ้นกลางแม่น้ำ Regnitz แม่น้ำสายสำคัญที่ไหลผ่านกลางเมือง เนื่องจากเกิดความขัดแย้งระหว่างนายกเทศมนตรีกับบาทหลวงเจ้าของที่ดินทั้งหมดในเมือง ทำให้ไม่มีพื้นที่สำหรับสร้างที่ว่าการเมือง
อาคารที่สร้างเกือบทั้งหมดได้รับอิทธิพลจากศิลปะแบบโกธิค ต่อมาได้ผสมผสานกับศิลปะสไตล์บาโรคและร็อคโคโคซึ่งเป็นผลงานของ Johann Jakob Michael Küchel เมื่อปีค.ศ. 1756 ความโดดเด่นอีกอย่างของอาคารดังกล่าวคือผนังด้านข้างที่มีลวดลายภาพวาดผลงานของ Anwar Johann ที่ละเอียดงดงามมากๆ
เดินเลยไปถ่ายรูปมุมเอกลักษณ์ของ Altes Rathaus จากอีกสะพานคือ Geyerswörthsteg
นี่คือจุดที่สวยงามที่สุดของบัมแบร์ก
เดินกลับไปที่ด้านหน้าที่ว่าการเมือง เลี้ยวซ้ายเข้าถนน Karolinenstraße ตรงขึ้นเนินประมาณ 300 เมตรก็ถึง Domplatz จัตุรัสกว้างแห่งนี้เป็นที่ตั้งของสิ่งก่อสร้างสำคัญของเมืองหลายอาคาร คือ
Bamberger Dom (Bamberg Cathedral) มหาวิหารสำคัญของเมืองที่มีชื่อทางการว่า Bamberger Dom St. Peter und St. Georg มหาวิหารแห่งนี้สร้างเสร็จสมบูรณ์ช่วงศตวรรษที่ 13 ในสถาปัตยกรรมสไตล์โรมาเนสก์โดยเป็นหนึ่งในมรดกโลกของเมืองด้วย
เยื้องกันคือ Neue Residenz วังเก่าซึ่งเคยเป็นที่อยู่ของขุนนางเมืองที่สร้างขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17 และ 18 ด้านในมีผลงานภาพวาดสไตล์บาโรคอันทรงคุณค่ามากมาย
ข้างโบสถ์คือ Alte Hofhaltung (Old Court) กลุ่มอาคารที่เคยใช้เป็นที่อยู่ของบิชช็อปผู้ปกครองเมือง ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์ Historisches Museum ให้เข้าชมได้
ไปที่สุดท้ายแล้ว เดินผ่าน Bamberger Dom ตรงลงเนินทะลุไปออกที่ถนน Unterer Kaulberg
ขึ้นบันไดไปก็เห็น Obere Pfarre (Kirche Unsere Liebe Frau) หรือ Church of Our Lady โบสถ์สไตล์โกธิคแห่งเดียวในเมืองที่ขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของออร์แกนบาโรคด้านใน
ขากลับก็ต้องเดินกลับเพราะหาข้อมูลรถเมล์ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้น่าเบื่อเพราะมีถนนคนเดินให้ดูนู่นดูนี่เป็นระยะๆ
ลงจากโบสถ์ เลี้ยวขวาเดินตามถนน Unterer Kaulberg ลงทางลาดไปนิดเดียวก็เลี้ยวซ้าย เจอจัตุรัสเล็กๆ เลี้ยวขวาเข้าถนน Pfahlplätzchen ตรงเข้าถนน Schranne สุดทางแล้วเลี้ยวซ้ายก็จะกลับไปที่สะพาน Geyerswörthsteg จุดถ่ายรูปหลักของเมือง
จากนั้นเดินไปข้ามสะพาน Untere Brücke แล้วเดินกลับสถานีรถไฟตามเส้นทางเดิม
ไป Coburg
15.54 น. รถไฟท้องถิ่นขบวน RE 4810 ออกจากสถานีรถไฟ Bamberg
นั่งแค่ 24 นาทีก็ถึงสถานี Coburg Bahnhof
ค้นหาตารางเวลาและค่าตั๋วรถไฟเยอรมันได้ที่ www.bahn.com
เราเลือกพักที่เมือง Coburg เพราะมีที่เที่ยวน่าสนใจให้แวะเที่ยวและจะได้ใกล้เมือง Leipzig ที่จะไปต่ออีกหน่อย
ไปเช็คอินที่ Vienna House Easy Coburg วิธีการเดินทางคือออกจากสถานีรถไฟ เลี้ยวขวาเดินนิดเดียวก็ถึงท่ารถเมล์ใหญ่ ขึ้นรถเมล์สาย 1 (Niederfüllbach) ไปลงที่ป้าย Klinikum ห่างจากโรงแรม 200 เมตร ค่าตั๋วรถเมล์ 1.60 ยูโร ถ้านั่งแท็กซี่ประมาณ 10 ยูโร
โรงแรมอยู่ออกนอกศูนย์กลางเมืองมาประมาณ 1.5 กิโล แต่ก็เดินเข้าเมืองได้สะดวกและปลอดภัย ถ้าพักในเมืองราคาค่อนข้างแพงครับ
ชื่อโรงแรมก็บอกอยู่แล้วว่า Vienna House Easy โรงแรมจึงดูง่ายๆ สบายๆ เป็นกันเอง เหมือนได้พักผ่อนอยู่บ้าน ราคาไม่แพงสำหรับโรงแรมระดับ 4 ดาวในยุโรปด้วย
ห้องพักดีไซน์โมเดิร์นแบบยุโรป เรียบง่าย แต่ดูดีมีสไตล์ คุมโทนด้วยสีขาว-เหลือง เตียงนุ่มมาก หมอนมีให้เลือกหลายระดับความหนานุ่ม ถ้าไม่ชอบโทรบอกรีเซ็ปต์ชั่นขอเปลี่ยนใบใหม่ได้เลย
ส่วนห้องน้ำไม่ใหญ่โต เน้นใช้พื้นที่แบบคุ้มค่า มีอ่างอาบน้ำให้แช่น้ำอุ่นๆ ด้วย
ราคาห้องพักมีให้เลือก 2 ประเภท
สามารถเข้าไปดูรายละเอียดต่างๆ ได้ที่ Vienna House Easy Coburg
ล็อบบี้ตกแต่งแนวเรโทรนิดๆ ใช้โคมไฟและแผ่นเสียงประดับ เหมาะจะแกล้งนั่งเผลอถ่ายรูปคูลๆ ครับ 55 ส่วนอีกมุมเป็นมุมเก๋ๆ ให้เก๊กทำเป็นอ่านหนังสือหรือคุยงานกัน
มีที่จอดรถใต้ดินสำหรับคนที่ขับรถเที่ยวและมีจักรยานให้ยืมปั่นเที่ยวเองในเมืองด้วยนะครับ
อ้อ! โรงแรมนี้คนไทยเป็นเจ้าของในนามบริษัท ยู ซิตี้ นะครับ มีสาขาอยู่หลายสิบแห่งทั่วยุโรปและกำลังจะเปิดในอีกหลายเมืองด้วย
วันที่ 2 ในเยอรมัน
ตื่นเช้ามารับประทานอาหารเช้าแบบ Bakery-style breakfast ไลน์อาหารตามมาตรฐานอาหารเช้าแบบฝรั่ง ที่ชอบคือบรรยากาศที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่ในครัวที่บ้าน การตกแต่งคือฮิปมากอ่ะ
วันนี้เรามีเวลาเที่ยวเมือง Coburg ประมาณ 6 ชั่วโมง
Coburg (โคบวร์ก) คือเมืองในเขตการปกครอง Upper Franconia แห่งรัฐ Bavaria ทางภาคกลางตอนล่างของเยอรมัน เขตเมืองอยู่ริมฝั่งแม่น้ำ Itz ที่รายล้อมด้วยอาคารสำคัญทางประวัติศาสตร์มากมายเพราะได้รับความเสียหายเพียงเล็กน้อยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 นั่นเอง
9 โมงละ แท็กซี่มารอรับไปปราสาทโคบวร์กแล้ว
นั่งแท็กซี่ขึ้นเขาไปยัง Veste Coburg (Coburg Fortress) ระยะทางค่อนข้างไกล ค่าแท็กซี่ 12 ยูโร
ป้อมปราสาทโคบวร์กเป็นหนึ่งในปราสาทขนาดใหญ่ที่สุดของเยอรมนีสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 10 บนเนินเขาสูง 167 เมตร เหนือตัวเมือง โดยแนวป้อมปราการมีความกว้าง 135 เมตร และยาว 260 เมตร ภายในจัดแสดงโบราณวัตถุต่างๆ รวมถึงงานศิลปะที่เป็นของขุนนางผู้ปกครองเมืองในอดีต
เวลาเปิด 09.30 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 8 ยูโร
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ visit Coburg Fortress
ถ้าจะนั่งรถเมล์ขึ้นมาก็ได้โดยขึ้นสาย 5 จาก Theaterplatz กลางเมือง แต่นานน้านมีรถที
เดินไปยังทางเข้าปราสาทซึ่งเปิดพอดี
เราไม่เข้าชมพิพิธภัณฑ์ครับ ขอเลือกเดินหาจุดถ่ายรูปปราสาทดีกว่า
ลงบันไดหน้าทางเข้าปราสาทไปยัง Hofgarten สวนขนาดใหญ่มากกกก เดินตามทางเดินในสวนหามุมถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ช่วงใบไม้เปลี่ยนสีต้นไม้ใบไม้กลายเป็นสีแดง ส้ม เหลือง สวยมากจริงๆ ถ้ามาฤดูอื่นอาจจะไม่สวยเท่านี้ครับ
เดินลงเขาไปจนถึง Reiterdenkmal Herzog Ernst II หรืออนุสาวรีย์ของดุ๊กผู้ปกครอง Herzogtum Sachsen-Coburg und Gotha (Duchy of Saxe-Coburg-Gotha) ในอดีต
ข้างล่างคือจุดชมวิวที่เรียกว่า Arkaden ที่มองเห็น Schloss Ehrenburg (Ehrenburg Palace) อยู่ทางซ้ายมือ
พระราชวังหลวงที่ใช้เป็นที่ประทับของราชวงศ์ผู้ปกครองเมืองระหว่างปีค.ศ. 1540-1918 ตั้งอยู่ที่บริเวณ Schloßplatz ด้านนอกอาคารที่เห็นในปัจจุบันเป็นสถาปัตยกรรมแบบโกธิคประยุกต์
ปัจจุบันเป็นพิพิธภัณฑ์นำเสนอผลงานภาพวาดของ Lucas Cranach the Elder ศิลปินชาวดัตช์ที่มีชื่อเสียงในช่วงศตวรรษที่ 16-17 รวมทั้งภาพวาดแลนด์สเคปสไตล์โรแมนติกอีกมากมาย เปิดให้เข้าชมทุกวันอังคาร-อาทิตย์ 09.00-18.00 น. ในช่วงฤดูร้อน และ 10.00-16.00 น. ในฤดูหนาว ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 4.50 ยูโร
รายละเอียดเพิ่มเติมที่ visit Ehrenburg Palace
ส่วนอาคารทางขวาคือ Landestheater Coburg (Coburg State Theatre) โรงละครศิลปะสไตล์นีโอคลาสสิกที่สามารถรองรับผู้ชมได้ 550 คน และ Edinburgh-Palais
ระยะทางจากปราสาทถึง Schloßplatz ประมาณ 1.3 กิโลเมตร
เดินลงไปที่หน้าพระราชวัง Ehrenburg แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าถนน Rückerstraße ด้านข้างพระราชวัง
ระหว่างทางมองไปทางขวาก็เห็นอาคาร Stadthaus (Town House) ที่ Marktplatz แต่เรายังไม่เดินไป
ตรงต่อไปทางยอดโบสถ์ Morizkirche
วันนี้ตรงกับวันหยุดของเมืองพอดี บ้านเมืองเลยเงียบเหงาไปหน่อย ร้านค้าร้านอาหารปิดเกือบหมด ปกติโคบวร์กมีนักท่องเที่ยวเหมือนกันครับ แต่ส่วนใหญ่เป็นคนที่อาศัยอยู่แถบๆ นี้
เห็นร้านอาหารอิตาเลียนชื่อ Dal Passatore เปิดอยู่ เลยเข้าไปสั่งสปาเก็ตตี้สำหรับมื้อกลางวัน
เดินไปยัง Morizkirche (Stadtkirche St. Moriz) โบสถ์เก่าแก่ที่สุดของเมืองที่เริ่มสร้างขึ้นตั้งแต่ศตวรรษที่ 14 ในสถาปัตยกรรมโกธิคผสมบาโรค จุดเด่นอยู่ที่หอคอยสูงที่สามารถมองเห็นได้เกือบทั้งเมืองจนกลายเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์ของเมืองในทุกวันนี้
เยื้องกับโบสถ์คือ Casimirianum โรงเรียนเก่าแก่ที่สร้างขึ้นเมื่อปีค.ศ. 1605 โดย Johann Casimir ดุ๊กแห่ง Sachsen-Coburg (Saxe-Coburg) เพื่อเป็นสถานศึกษาด้านภาษาโดยเฉพาะ ปัจจุบันยังคงใช้สำหรับการเรียนการสอนภาษาต่างๆ เช่นเดิม แต่มีการขยายหลักสูตรไปถึงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพิ่มเติมด้วย
เลี้ยวขวาเข้าถนน Neugasse ตรงข้ามกับโบสถ์ เดินผ่าน Casimirianum ไปลอดประตู Münzmeisterhaus หนึ่งในอาคารสำคัญที่สุดของเมืองซึ่งได้ชื่อว่าเป็นอาคารสไตล์ half-timbered ที่เก่าแก่ที่สุดอันดับต้นๆ ของเยอรมนี โดยสร้างขึ้นตั้งแต่ปีค.ศ. 1444
เลี้ยวขวาไปยังด้านหน้า Münzmeisterhaus
เดินต่อตามถนน Ketschengasse นิดเดียวก็จะถึง Marktplatz จัตุรัสกลางเมืองที่มีมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15
รอบจัตุรัสรายล้อมด้วยอาคารสำคัญต่างๆ เช่น
Stadthaus (Town House) เป็นอาคารที่สวยงามโดดเด่นที่สุด ด้านหน้ามีอนุสาวรีย์ของเจ้าชาย Albert ตั้งอยู่เป็นสัญลักษณ์
Rathaus หรือที่ว่าการเมืองตั้งอยู่ด้านตรงข้าม Stadthaus
Hof Apotheke am Markt ร้านขายยาโบราณที่สืบทอดกันมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 และบ้านของผู้ปกครองเมืองในสมัยก่อน
ขี้เกียจเดินแล้วครับ เรียกแท็กซี่กลับโรงแรมดีกว่า ค่าแท็กซี่ 8 ยูโร
เอากระเป๋าเดินทางแล้วไปสถานีรถไฟ
ไป Leipzig
16.50 น. รถไฟด่วนพิเศษขบวน ICE 706 ออกจากสถานีรถไฟ Coburg แวะเปลี่ยนขบวนที่สถานี Erfurt Hbf เป็นขบวน ICE 598 และถึงสถานีรถไฟกลาง Leipzig Hbf ในเวลา 18.09 น.
*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต