ถ้าเอ่ยชื่อประเทศ “ญี่ปุ่น” หลายๆ คนก็คงจะร้องว่า “โอ๊ย! อยากไปๆๆ” และเป้าหมายอันดับแรกๆ ก็คงหนีไม่พ้น โตเกียว โอซาก้า เกียวโต ฮอกไกโด และเมืองชื่อคุ้นหูอีกเพียบ หรือบางคนก็ไปมาหลายรอบละ ไปแล้วไปอีก ไปจนไม่รู้จะเที่ยวที่ไหนละ เน้นไปกินช้อปล้วนๆ ก็เยอะแยะ แถมรีวิวแนะนำสถานที่เที่ยว กิน ช้อปแง่มุมต่างๆ ก็มีมากมายมหาศาลแทบทุกเมืองและทุกเรื่องของญี่ปุ่น แค่ search google เข้าไปหาก็ไม่รู้จะเลือกอ่านอันไหนก่อนดีเลย ใช่มั้ยล่ะ? 555
การไป “เที่ยวเอง” ญี่ปุ่นครั้งนี้เราจึงอยากเสนอความเป็นญี่ปุ่นอีกแง่มุมหนึ่งที่เวลานึกถึงประเทศนี้แล้วจะต้องมีเรื่องนี้ติดอันดับเข้ามาในหัวสมองด้วยแน่ๆ นอกจากแง่มุมเรื่องของความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยีด้านต่างๆ ความน่ารักคิกขุของตัวการ์ตูนญี่ปุ่น อาหารการกินที่ถูกปากคนไทย แสงสีอันมีชีวิตชีวายามค่ำคืน แง่มุมหรืออารมณ์ความรู้สึกที่ว่านั้นก็คือ “วัฒนธรรมแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น” ครับ มาเที่ยวญี่ปุ่นทั้งทีก็อยากสัมผัสให้ครบทุกฟีลลิ่งมากกว่าแค่การใช้ชีวิตเที่ยว กิน ช้อป ในเมืองใหญ่ซึ่งจะได้พบได้เจอแง่มุมปกติทั่วไปของญี่ปุ่นอยู่แล้ว
ทริปนี้เราจึงเลือกไปพักผ่อนตามแบบฉบับญี่ปุ่นดั้งเดิมที่เรียวคัง (旅館) เพื่อสัมผัสบรรยากาศสวนร่มรื่นสไตล์ญี่ปุ่นและแช่ออนเซ็นสุดแสนสบายผ่อนคลายจากการทำงานและเดินทางอย่างหนักหน่วงมาตลอดทั้งปีครับ
ที่พักแบบเรียวคังที่เราเลือกก็คือ Jinya Ryokan (元湯陣屋) เรียวคังระดับ 5 ดาวในแหล่งน้ำพุร้อนออนเซ็นที่ดีที่สุดในญี่ปุ่นคือทางตอนกลางของเกาะฮอนชู เกาะเดียวกับกรุงโตเกียวนี่แหละครับ นอกจากที่นี่จะตั้งอยู่ในแหล่งน้ำแร่อันยอดเยี่ยมแล้ว ยังอยู่ไม่ไกลจากโตเกียวอีกต่างหาก สามารถขับรถหรือนั่งรถไฟจากสถานี Shinjuku ตรงถึงสถานี Tsurumaki-onsen (ทสึรุมากิออนเซ็น) ได้เลย โดยใช้เวลาเพียง 1 ชั่วโมงนิดๆ เท่านั้นครับ แถมยังอยู่ไม่ไกลจากเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่าง Hakone ช้อปปิ้งเอาท์เล็ตที่ Gotemba และจุดชมวิวภูเขาไฟฟูจิที่มีให้เลือกหลายแห่ง เช่น ทะเลสาบ Ashi, เจดีย์แดง Chureito Pagoda, ทะเลสาบ Kawaguchi (Kawaguchiko) เป็นต้น
แต่ก่อนจะไปอาบน้ำแร่แช่น้ำนมให้สบายตัวก็ต้องแวะพักที่โตเกียวกันก่อนเพราะไฟลท์ของสายการบิน Japan Airlines บินลงถึงสนามบิน Narita ประมาณ 4 โมงเย็นเวลาท้องถิ่น กว่าจะนั่งรถไฟด่วน Narita Express เข้าตัวเมืองโตเกียวก็มืดแล้ว ช่วงเดือนธันวาที่ญี่ปุ่นพระอาทิตย์ตกประมาณ 4 โมงครึ่งครับ
ผมคงไม่ต้องเขียนรีวิวการเที่ยวโตเกียวแล้วมั้ง 555 คนเขียนกันเยอะแยะเต็มไปหมดแล้วครับ และตอนนี้ก็เที่ยวเองไม่ยากแล้วด้วยเพราะรถไฟและรถไฟใต้ดินในโตเกียวมีภาษาอังกฤษให้อ่านทั้งในโบกี้และที่ป้ายต่างๆ ในสถานีด้วยครับ สถานที่เที่ยวหรือย่านหลักต่างๆ มีสถานีรถไฟของ JR เข้าถึงได้อย่างสะดวก ไม่ว่าจะเป็น Ueno, Tokyo, Shinjuku, Harajuku, Shibuya, Akihabara, Ikebukuro สามารถกดตู้ซื้อตั๋ว Tokunai Pass (JR 1-day Tokyo Rail Pass, 都区内パス) ราคา 750 เยน ใช้โดยสารรถไฟรอบเมืองสาย JR ได้ทุกสายโดยไม่จำกัดจำนวนครั้งภายใน 1 วัน ใน 23 เขตของโตเกียว ขึ้นลงรถไฟแวะเที่ยวได้ทั่วเมืองเลยครับ แต่สถานที่บางแห่งก็ต้องอาศัยรถไฟใต้ดินซึ่งต้องเสียตังค์เพิ่มต่างหากจากตั๋ว Tokunai Pass นั่นก็คือวัด Asakusa, ย่าน Ginza, Omote-sando และเนินเขา Roppongi
สามารถเช็คเวลาและค่าตั๋วรถไฟและรถไฟใต้ดินของบริษัทต่างๆ ในญี่ปุ่นจากสถานีหนึ่งไปยังสถานีต่างๆ ได้ที่ www.hyperdia.com ครับ
ไปเที่ยวญี่ปุ่นทั้งทีก็ต้องอยากอัพรูปลง IG รัวๆ อยากเช็คอินบอกเพื่อนในเฟซว่าเราอยู่ที่ไหน ทำอะไรอยู่ อยากโพสต์รูปสดๆ ให้แฟนเพจชม และต้องการติดต่องานทางโทรศัพท์ได้ตลอดด้วย ผมเป็นลูกค้า dtac มา 10 กว่าปีแล้ว ก็คงไม่พ้นการเปิดบริการ roaming แล้วลองเลือกใช้แพ็กเกจนี้ครับ Non-stop data roaming สำหรับใช้อินเตอร์เน็ตได้ตลอดเวลาที่อยู่ที่นู่น ที่เจ๋งไปกว่านั้นคือเริ่มคิดค่าบริการเมื่อมียอดใช้งานจริงในต่างประเทศ หากใช้งานนอกเครือข่ายที่กำหนด ดีแทคจะระงับดาต้าโรมมิ่งทันที จึงไม่ต้องกังวลเรื่องเน็ตรั่ว เงินทองไม่รั่วไหลแน่นอน
ลองดูรายละเอียดของแพ็กเกจ Non-stop data roaming ที่ dtac roaming package
ส่วนอีกช่องทางคือเปิดบริการ dtac WiFi calling หรือ VoWiFi ซึ่งก็คือการใช้โทรศัพท์ผ่านสัญญาณ WiFi ไว้ใช้โทรออกและรับสายได้โดยจ่ายค่าโทรเหมือนโทรในเมืองไทยไปด้วยครับ ส่วนค่าบริการก็จะหักจากแพ็กเกจที่เราใช้งานอยู่ เช่นแพ็กเกจ 200 นาที การโทรผ่าน WiFi Calling ก็จะหักนาทีจากในแพ็กเกจนั้น
แล้วตอนนี้มีแอพพลิเคชั่นออกมาเพิ่มคือ ไม่ว่าคุณจะใช้สมาร์ทโฟนรุ่นไหนโทรออก-รับสายประหยัดทุกที่ทั่วโลกผ่าน WiFi ก็โหลดแอพ dtac WiFi Calling มาติดเครื่องไว้ก็ใช้งานได้เลย
ส่วนข้อมูลของบริการ WiFi calling อ่านเพิ่มเติมได้จาก dtac WiFi calling นะครับ
มาโตเกียวครั้งนี้ไม่เน้นเที่ยวครับ เราตั้งเป้าไปที่การเดินเล่นช้อปปิ้งที่ย่านดังหลายแห่งใน 2 วันมากกว่า ไม่ว่าจะเป็น Ginza, Akihabara, Shinjuku, Harajuku, Shibuya, Odaiba และแวะไหว้พระที่ Asakusa Kannon หรือวัด Sensoji เพื่อความเป็นสิริมงคลสักหน่อยครับ
อัพรูปรัวๆ ปายยครัช ^^ เปิดดีแทคโรมมิ่ง มันดีแบบนี้นี่แหละ
ออกจากโตเกียวมุ่งไปยังออนเซ็นเลยดีกว่าครับ เราเดินทางโดยรถไฟไปลงที่สถานี Tsurumaki-onsen แล้วเดินอีกราว 5 นาที ประมาณ 11 โมงก็เข้าเช็คอินที่ Jinya Ryokan แต่ทางเรียวคังให้เช็คอินได้ตอนบ่ายสามครึ่ง เราจึงนั่ง
รับประทานอาหารกลางวันอร่อยๆ ก่อนเดินชมรอบๆ บริเวณ และขอให้พนักงานพาชมห้องพักประเภทต่างๆ เพื่อถ่ายรูปมาเขียนรีวิวมาให้ชมกันด้วยครับ ที่นี่มีพนักงานพูดภาษาอังกฤษและไทยได้ด้วยครับ ไม่ต้องกังวลเรื่องการสื่อสารเลย
ถ้าลูกค้าไม่อยากเดินจากสถานีรถไฟ ทางเรียวคังก็มีบริการรถโรลส์-รอยซ์สุดหรูรับ-ส่งถึงที่ แต่ก็ต้องเสียค่าบริการเพิ่มเติมนะครับ ส่วนตัวผมยอมเดินก็ได้วะ ใกล้นิดเดียวเอง 555
นอกจากนี้ลูกค้ายังสามารถใช้บริการรถโรลส์-รอยซ์ไปยังสถานที่ต่างๆ ได้ เช่น สนามบิน Narita, สนามบิน Haneda, Gotemba Premium Outlets เป็นต้น แต่ถ้าลูกค้ามากันเป็นกรุ๊ปใหญ่เกิน 5 คน ทางเรียวคังก็มีรถตู้บริการเช่นกัน โดยสามารถติดต่อที่รีเซ็ปต์ชั่นได้ตลอดเวลาครับ
มื้อกลางวันนี้เป็นเมนูเทมปุระครับ น่ากินโคตรๆ
จินยะคือที่พักแบบเรียวคังระดับ 5 ดาวในแหล่งออนเซ็นธรรมชาติที่ว่ากันว่าดีที่สุดของญี่ปุ่น น้ำพุร้อนของทสึรุมากินี้ผุดขึ้นมาจากตาน้ำใต้ภูเขาทันซาว่าซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องเป็นแหล่งน้ำพุร้อนที่อุดมด้วยแคลเซียม ตั้งแต่สมัยโบราณมีความเชื่อว่าถ้าได้ดื่มน้ำที่มีประจุไอออนสูงจะสามารถบรรเทาอาการปวดไขข้อ อาการบาดเจ็บจากบาดแผล และโรคระบบทางเดินอาหารได้
เดินชมในบริเวณสวนสไตล์ญี่ปุ่นซึ่งตอนนี้ใบไม้แดงแทบไม่หลงเหลืออยู่แล้ว (ถ้ามาเร็วกว่านี้สัก 1-2 อาทิตย์คงจะสวยงามสุดๆ ไปเลยครับ)
พนักงานเล่าให้เราฟังว่าผู้สร้างการ์ตูนดังเรื่องโทโทโร่เพื่อนรัก นาม Miyazaki Hayao แห่งสตูดิโอจิบลิ (Studio Ghibli) ได้แรงบันดาลใจจากชีวิตวัยเด็กที่เคยวิ่งเล่นอยู่ในจินยะนำบรรยากาศของที่นี่มาวาดเป็นฉากในการ์ตูนดังกล่าวหลายฉาก และชี้ให้ดูต้นโทโทโร่หรือต้นการบูรที่อยู่ตรงทางเข้าด้วย มิน่าตอนเดินไปห้องอาหารจึงเห็นกรอบรูปวาดโทโทโร่ที่มีลายเซ็นของคุณมิยาซากิซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงของท่านประธานของจินยะเรียวคังคนปัจจุบันตั้งอยู่
พนักงานสาวยังบอกให้เราลองดื่มน้ำแร่จากท่อไม้ไผ่ตรงนี้ด้วย รสชาติดีเลยครับ ไม่มีกลิ่นกำมะถันแรงเหมือนที่เมือง Karlovy Vary สาธารณรัฐเช็กเลย
เธอเล่าต่อว่าในสมัยก่อนที่นี่เป็นที่นิยมของบรรดาซามูไรและทหารเนื่องจากความดีงามของน้ำแร่และไม้ไผ่คุณภาพเยี่ยมซึ่งใช้เป็นวัตถุดิบชั้นดีในการทำลูกธนู ตรงล็อบบี้และทางเดินจึงมีอาวุธและข้าวของเครื่องใช้โบราณจัดแสดงไว้ให้ชม
ต่อไปเราจะพาทัวร์ห้องต่างๆ ของจินยะเรียวคังที่มีให้เลือกหลากหลายประเภท โดยห้องแบบ Standard มีราคาเริ่มต้นคืนละ 35,000 เยนต่อคนซึ่งถือเป็นราคาปกติทั่วไปของเรียวคังครับ ราคาจะสูงหรือต่ำกว่านี้ขึ้นอยู่กับว่ามีโปรโมชั่นหรือไม่และเลือกอาหารเย็นเป็นเมนูอะไรเพราะราคาห้องพักจะคิดรวมอาหารเช้าและอาหารเย็นไว้ด้วยเลย
ห้องประเภทนี้ไม่มีอ่างออนเซ็นส่วนตัวในห้องพัก แต่ลูกค้าสามารถใช้ Public Bath ที่มีให้เลือกทั้งแบบในร่มและกลางแจ้งได้ตามใจชอบ
เราได้ถ่ายแต่รูปห้องที่มีอ่างออนเซ็นส่วนตัวมาให้ชมกันนะครับ ห้องนี้วิวดีมากๆ ขอบอกว่าราคาอยู่ที่คืนละประมาณ 40,000 เยนต่อคนครับ หน้าตาเป็นแบบนี้
พาชมออนเซ็นรวมบ้างดีกว่า สำหรับลูกค้าที่ไม่ได้เข้าพักที่นี่ก็สามารถมาแช่น้ำแร่ที่ Public Bath ในร่มและกลางแจ้งได้ โดยช่วงเวลาที่ราคาน่ารักที่สุดก็คือ 11.30-15.00 น. ตกคนละประมาณ 2,500 เยนเอง ถือว่าไม่แพงเลยครับ แช่ได้ตามใจอยาก จะแช่จนตัวเปื่อยเลยก็ได้ แต่จริงๆ ควรแช่ครั้งละประมาณ 20 นาทีแล้วก็ขึ้นมานั่งพักจิบชาอุ่นๆ ให้ดีต่อใจครับ
ออนเซ็นรวมในร่มเป็นอย่างนี่ ป้ายผ้าสีน้ำเงินคือของผู้ชาย ส่วนสีชมพูคือของผู้หญิง
ส่วนออนเซ็นกลางแจ้งดูเป็นธรรมชาติมากๆ ได้ฟีลดีจริงๆ ครับ
แหม่! น้ำใสแจ๋วเลย ต้องไม่สวมอะไรเลยลงไปแช่รวมกับคนอื่นด้วย ใจไม่กล้าพอครับ 555 คืนนี้เราจึงขอพักในห้องที่ดีที่สุดคือ VIP Room “Karikura-an” หรือ Luxury Villa ที่มีอ่างออนเซ็นส่วนตัวให้แช่ได้แบบไม่ต้องแคร์สายตาใคร ^^
พนักงานสาวหน้าใสผู้นี้จะเป็นคนพาเราไปที่ห้องพักซึ่งอยู่ในสวนด้านนอกอาคารครับ
ห้องพักส่วนตั๊วส่วนตัวที่มีบริเวณเป็นของตัวเองนี้คือห้องที่เลิศที่สุดของจินยะ ราคาห้องก็คืนละ 65,000-80,000 เยนต่อคน ขึ้นอยู่กับว่ามีโปรโมชั่นรึเปล่าและเลือกอาหารเย็นเป็นเมนูอะไรเช่นเดียวกับการเลือกพักที่ห้องแบบ Standard ครับ
เข้าไปดูบรรยากาศในห้องต่อเลย ห้องพักออกแบบอย่างเรียบง่ายตามสไตล์ดั้งเดิมของญี่ปุ่น แต่แลดูหรูหราสมราคาครับ ข้างในห้องหรือจะเรียกว่าเป็นบ้านหนึ่งหลังประกอบด้วยห้องต่างๆ คือ ห้องนั่งเล่นตรงกลางซึ่งเป็นห้องเดียวของจินยะที่มีหน้าต่างวงกลมไว้สำหรับถ่ายรูปเก๋ๆ ครับ
บนโต๊ะกลางห้องมีสำรับไพ่ลายโทโทโร่ด้วย
เดินไปที่ห้องน้ำ แค่เปิดประตูห้อง โถส้วมอัตโนมัติก็เปิดฝาเองเลย เลี้ยวไปที่ห้องอาบน้ำซึ่งเป็นทางเดินออกไปยังอ่าง
ออนเซ็นส่วนตัว
ขออนุญาตแช่น้ำอุ่นๆ แป๊บนึงก่อน เดี๋ยวมาเล่าต่อครับ อิอิ
ไปดูห้องนอนซึ่งอยู่ข้างในสุดบ้าง เตียงใหญ่เบอร์นี่!
มีห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ด้วย และที่มินิบาร์มีกาแฟให้ชงดื่มไม่อั้น ในตู้เย็นแช่เครื่องดื่มนานาชนิดไว้เต็มให้แขกดื่มได้ฟรีไม่คิดตังค์เพิ่มครับ
สำหรับแขกที่เข้าพักในห้องทุกประเภทจะได้รับถุงเท้าลายหวานแหววคนละ 1 คู่ต่อจำนวนคืนที่เข้าพักด้วย
หลังจากแช่ออนเซ็นจนสบายตัวแล้วก็ไปแฮฟดินเนอร์กันครับ แขกสามารถไปรับประทานอาหารเย็นได้ตั้งแต่ 6 โมงเย็น – 2 ทุ่ม โดยค่าอาหารมื้อเย็นนี้จะรวมอยู่ในราคาห้องพักตั้งแต่ตอนจองและเลือกเมนูแล้ว แต่ถ้าเกิดเปลี่ยนใจอยาก
รับประทานเซ็ตเมนูที่แพงขึ้นก็สามารถจ่ายเงินเพิ่มได้เช่นกัน เมนูมื้อเย็นมีให้เลือกหลายเซ็ต ราคาตั้งแต่ 4,000 เยน ไปจนถึง 36,000 เยนเลย เชิญสั่งได้ตามกำลังทรัพย์ครับ
เซ็ตเมนูของเรานี้คือ Tokuzen Kaiseki ราคา 12,000 เยนครับ ประกอบด้วย Starter 1 อย่าง อาหารจานหลัก 6 อย่าง และปิดท้ายด้วยของหวาน
เราลองสั่งสาเกมาดื่ม 3 ช็อตด้วย รสชาติแรงดีครัช ดื่มหมดมีงงๆ ตึงๆ เรย
เชฟพิถีพิถันในทุกขั้นตอนการปรุงอาหารตามแบบต้นตำรับดั้งเดิมโดยใช้น้ำพุร้อนธรรมชาติเป็นส่วนหนึ่งในการทำอาหารซึ่งจะช่วยเสริมรสชาติของวัตถุดิบให้อร่อยยิ่งขึ้น แล้วค่อยๆ เสิร์ฟทีละเมนูครับ
มื้อนี้พี่ไม่รีบ 555 นั่งละเลียดทุกเมนูแบบสโลว์ไลฟ์กว่า 2 ชั่วโมง ชิลล์สุดๆ ไปเลย
เดินกลับห้องพักไปพักผ่อนบนเตียงนุ่มๆ กว้างขวางชนิดกลิ้งไม่ตกเตียง 55
ถ้าอยากลองพักแบบญี่ปุ่นดั้งเดิมแท้ๆ ที่จินยะเรียวคังก็สามารถเช็คราคาและจองห้องพักได้ที่ www.jinya-inn.com จะได้ราคาดีกว่าการจองผ่าน booking และ expedia นะครับ
และติดตาม Instagram ได้ที่ jinya_ryokan เพิ่งทำมาสดๆ ร้อนๆ เลยครับ
เช้าวันรุ่งขึ้น ทางเรียวคังจัดอาหารเช้าไว้บริการแขกที่เข้าพักโดยรวมราคาอยู่ในค่าห้องพักเรียบร้อยแล้วครับ มื้อเช้าวันนี้เป็นชุดใหญ่แบบนี้
วันนี้เรามีโปรแกรม one day trip ไปชมภูเขาไฟฟูจิจากทะเลสาบคาวากุจิ (Kawaguchiko) อันโด่งดัง ตอนค่ำก็จะกลับมารับประทานอาหารที่เรียวคังและพักค้างคืนที่จินยะอีกหนึ่งคืน แต่คืนที่ 2 นี้เราขอย้ายห้องไปพักที่ห้อง VIP Room “Matsukaze” ซึ่งแต่เดิมเคยเป็นที่พำนักแห่งที่สองของตระกูลผู้นำเก่าชื่อว่าคุโรดะและใช้เป็นสถานที่สร้างความบันเทิงให้แก่จักรพรรดิของเมจิด้วย
เอาวิวภูเขาไฟฟูจิที่บนยอดเขาปกคลุมด้วยหิมะขาวสะอาดตามาฝากเล็กๆ น้อยๆ ครับ
กลับมาถึงเรียวคังตอนค่ำๆ ครับ ก่อนจะไปรับประทานมื้อเย็น ขอเข้าไปชมห้องวีไอพี “มัตสึคาเสะ” ซึ่งจะเป็นห้องพักของเราในคืนนี้เสียก่อน ห้องนี้ใหญ่โตโออ่ามาก ส่วนเรื่องราคาก็ไม่ต่างจากห้องคืนแรกเท่าไหร่ครับ
ห้องแรกที่เข้าไปถึงก็เจอเลยคือห้องนอนที่ปูฟูกหนานุ่มรอไว้เรียบร้อยแล้ว
ห้องต่อไปคือห้องนั่งเล่นซึ่งทะลุกับห้องที่เราขอเรียกว่าห้องดื่มชา ห้องนี้ใช้เป็นสถานที่จัดการแข่งขันหมากรุกญี่ปุ่นหรือโชกิและโกะมากกว่า 300 ครั้งแล้ว ที่จินยะนี้เป็นสนามแข่งในฝันของบรรดาเซียนและแฟนๆ
ส่วนด้านหลังเป็นห้องน้ำ ห้องอาบน้ำ และอ่างออนเซ็นส่วนตัว เอารูปที่ถ่ายตอนเช้ามาให้ชมกันครับ
ไปดูมื้อค่ำของวันนี้บ้าง นี่เลย! Yumeukihashi Kaiseki Dinner เป็นเซ็ตเมนู 8 อย่างเหมือนเมื่อวานแต่เมนูไม่เหมือนเดิม จัดเต็มขึ้นไปอีกครับ เมนูเด่นๆ ก็คือ ซุปล็อบสเตอร์ เนื้อปลาปักเป้าย่าง สุกี้ยากี้เนื้อดำ ข้าวอบปูเนื้อแน่น
น้ำลายไหลกันเลยสิท่า 555
อิ่มสุดๆ เลยครับ ต้องขอตัวลาไปนอนพื้นแบบญี่ปุ่นซักคืนก่อน ZzZz
ที่นี่เช็คเอาท์ได้ 11 โมงครับ ขอตื่นเช้ามาแช่น้ำอุ่นท่ามกลางอุณหภูมิเลขหลักเดียวก่อนเลย #ดีต่อใจจริมๆ 😀
จากนั้นก็ไปแฮฟเบรคฟาสต์ซึ่งมาเป็นอาหารชุดใหญ่เช่นเดิม
หมดเวลาสบายแล้วสิ! ถึงเวลาต้องกลับโตเกียวและเมืองไทยแล้วครับ ไว้เจอกัลใหม่นะ “เจแปน” เราจะคิดถึงเธอ 555
ออกไปเที่ยวแต่ละทริปก็อย่าลืมเตรียมตัวให้พร้อมทุกด้าน และที่สำคัญควรเปิดบริการอย่าง data roaming หรือ WiFi Calling ไปด้วยเลยเพราะจะได้ไม่ขาดการติดต่อสื่อสารกับคนที่อยู่เมืองไทย แถมยังได้แชท ได้แชร์รูป แบบฟินๆ อีกด้วย