เชื่อว่า “ญี่ปุ่น” คือจุดหมายแรกๆ ในใจคนไทยอยู่แล้ว บางคนไปได้ตลอดไม่มีเบื่อ เรียกว่าไปกันจนทั่วประเทศแล้ว เพราะแต่ละภูมิภาคของดินแดนอาทิตย์อุทัยนั้นเต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจที่ตอบโจทย์นักเดินทางทุกสไตล์ โดยหนึ่งในภูมิภาคที่เราอยากแนะนำก็คือ “Chugoku” (ชูโงะคุ) พื้นที่ทางตะวันตกสุดของเกาะ Honshu เกาะใหญ่ที่สุดของญี่ปุ่นนั่นเอง
เมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา เราได้ไปเที่ยวภูมิภาคชูโงะคุมาหลายวัน โดยเน้นเจาะไปที่ด้านใต้ที่ติดกับทะเลเซโตะ (Seto) ได้แก่ จังหวัด Okayama (โอคะยะมะ) ที่โด่งดังจากตำนานโมโมทาโร่และผลไม้อย่างลูกพีชและองุ่น จังหวัด Hiroshima (ฮิโรชิมะ) ที่มีชื่อเสียงจากศาสนสถานศักดิ์สิทธิ์ ปราสาทโบราณ และความเกี่ยวโยงกับประวัติศาสตร์โลก และจังหวัด Yamaguchi (ยามะกุจิ) ซึ่งเป็นที่รู้จักจากสะพานสุดคลาสสิก
ภูมิภาคนี้อาจไม่ใช่จุดหมายชื่อดังอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่น ทำให้บางคนยังไม่รู้จัก อาจเกิดคำถามว่ามีอะไรให้เที่ยว แล้วต้องไปทำอะไรบ้าง ยังไงลองหาคำตอบจากในบทความนี้ได้เลย แล้วจะรู้ว่าทำไมถึงต้องใส่ “ชูโงะคุ” ไว้ในญี่ปุ่นทริปต่อไป
เยี่ยมชม Okayama Castle
สถานที่ท่องเที่ยวคู่เมือง Okayama ที่ห้ามพลาดโดยเด็ดขาด ปราสาทนี้ได้รับการขนานนามว่า “ปราสาทอีกา” เพราะด้วยรูปลักษณ์ภายนอกที่ใช้สีดำเป็นหลักนั่นเอง ปราสาทยุค Azuchi-Momoyama แห่งนี้สร้างขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1597 โดยได้รับความเสียหายบางส่วนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก่อนได้รับการบูรณะใหม่ในช่วงเวลาต่อมา
ด้านในที่ตกแต่งแบบโมเดิร์นเป็นส่วนจัดแสดงประวัติความเป็นมา จากชั้นบนของปราสาทสามารถมองลงมาเห็นวิวเมือง Okayama สวน Korakuen และแม่น้ำ Asahi ได้อย่างชัดเจน
ปราสาทเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่เวลา 09.00-17.30 น. ค่าเข้าชมในส่วนปราสาทและสวนราคา 560 เยน
การเดินทาง: จากสถานีรถไฟ JR Okayama นั่งรถเมล์ไปลงที่ป้าย Kenchomae ประมาณ 10 นาที แล้วเดินต่ออีก 5 นาที หรือนั่งรถรางไปลงที่ป้าย Shiroshita และเดินต่ออีก 10 นาที



ลองเมนูข้าวหน้าปลาดิบท้องถิ่น
ถ้ามาถึงจังหวัด Okayama เมนูที่ไม่ควรพลาดเห็นจะเป็น Bara Sushi ข้าวหน้าปลาดิบหลากชนิดที่ส่วนมากหาได้จากทะเลเซโตะ รสชาติออกไปทางเปรี้ยวจากการหมักดองน้ำส้มสายชู จัดว่าแปลกดี ส่วนอีกเมนูที่อยากแนะนำคือ Kaeshi Sushi ข้าวหน้าปลาดิบซึ่งมีที่มาตั้งแต่ยุคเอโดะที่มีการตรวจตราการกินของชาวบ้านอย่างเคร่งครัด ทำให้ต้องซ่อนปลาดิบไว้ด้านล่างแล้วให้เห็นเฉพาะข้าวด้านบน อันนี้รสชาติอร่อย ถูกใจสายปลาดิบแน่นอน



สักการะศาลเจ้าศักดิ์สิทธิ์ Kibitsu Shrine
ศาลเจ้าโบราณแห่งเมือง Okayama ที่มีประวัติเชื่อมโยงกับเทพเจ้าซึ่งเป็นที่มาของนิทานพื้นบ้านชื่อดังอย่าง “Momotaro” ศาลเจ้าคิบิตสึนับเป็นหนึ่งในสมบัติสำคัญของชาติ โดยตัวอาคารหลักได้รับการบูรณะครั้งใหญ่เมื่อปี 1425 ไฮไลต์ของที่นี่คือทางเดินยาว 360 เมตรที่สองข้างทางเป็นดอกไม้ที่ผลิบานตามแต่ละฤดูกาลโดยช่วงที่สวยงามที่สุดน่าจะเป็นช่วงเดือนมิถุนายนที่ดอกไฮเดรนเยียกว่า 1,500 ต้นบานสะพรั่งเต็มที่
เข้าฟรีได้ทุกวันตั้งแต่ 05.00-18.00 น.
การเดินทาง: เดิน 10 นาทีจากสถานีรถไฟ JR Kibitsu



แช่น้ำแร่สุดผ่อนคลายที่ Yubara Onsen
ทางเหนือของเขตจังหวัด Okayama เป็นที่ตั้งของบ่อน้ำแร่ชื่อดังอย่าง Yubara Onsen บ่อน้ำแร่กลางแจ้งในย่านบ่อน้ำพุร้อนชื่อดัง “Sunayu” ที่รายล้อมด้วยโขดหินด้านหลังเขื่อนริม Asahi ที่อาบน้ำกลางแจ้งหรือโรเทนบุโรชั้นนำของญี่ปุ่นตะวันตกแห่งนี้ถือเป็นออนเซ็นกลางแจ้งที่คนไทยยังไม่รู้จักมากนัก แต่ความจริงแล้วมีชื่อเสียงมากในญี่ปุ่น โดยจุดเด่นอยู่ที่การผสมผสานระหว่างบ่อน้ำร้อนกลางแจ้งกับกิจกรรมการอบทรายร้อน ‘suna-yu’
การเดินทาง: รถเมล์จากสถานีรถไฟ JR Okayama ใช้เวลา 2 ชั่วโมง 35 นาที เปลี่ยนรถเมล์ที่ Katsuyama Bus Center แล้วลงที่ป้าย Yubara Onsen เดินต่ออีก 5 นาที



เดินเล่นซื้อของท้องถิ่นที่ Katsuyama
ถ้าชอบบรรยากาศเมืองเก่าต้องมาที่นี่ Katsuyama Historical Preservation District คือย่านประวัติศาสตร์ริมฝั่งแม่น้ำ Asahi ในจังหวัด Okayama ที่เต็มไปด้วยโกดังเก็บสินค้าและย่านค้าขายที่ประดับตกแต่งหน้าร้านด้วยผ้านม่านลวดลายหลากหลายที่เรียกว่า “โนเรน”
การตกแต่งแบบนี้ทำให้แดดส่องผ่านเข้ามาแต่บดบังสายตาจากภายนอกได้ ย่านที่ได้รับรางวัลภูมิทัศน์เมืองแสนสวยในปี 2009 แห่งนี้เต็มไปด้วยบรรยากาศอันน่ารื่นรมย์จากการผสานวัฒนธรรรมเก่าและใหม่เข้าด้วยกัน โดยมีสินค้าให้เลือกซื้อหลากหลายตั้งแต่สาเกท้องถิ่นรสชาตินุ่มคอไปจนถึงกระเป๋าใส่เศษเหรียญดีไซน์สวยงาม
การเดินทาง: เดิน 5 นาทีจากสถานีรถไฟ JR Chugoku-Katsuyama



ชื่นชมเมืองคูคลองสุดคลาสสิกใน Kurashiki
ย่านประวัติศาสตร์ Kurashiki Bikan Historical Quarter แห่งเมือง Kurashiki ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญในยุคเอโดะ ภายในพื้นที่อนุรักษ์ริมคูคลองแห่งนี้มีสถานที่น่าสนใจหลายที่ ไม่ว่าจะเป็น อาคารโบราณอย่าง Ohara Family House และ Kurashiki IVY Square พิพิธภัณฑ์ต่างๆ เช่น Ohara Museum of art, Japan Folk Toy & Doll Museum และ Yumiko Igarashi Museum รวมถึงร้านกาแฟและร้านขายของที่ระลึกมากมาย โดยสามารถล่องเรือชมวิวได้ในราคา 500 เยนอีกด้วย
การเดินทาง: เดิน 10 นาทีจากสถานีรถไฟ Kurashiki หรือนั่งรถบัสไปลงที่ป้าย Ohara Museum Mae




ชมวิวมุมสูงอันเป็นเอกลักษณ์ของ Onomichi
หากเดินทางเลียบชายฝั่งทะเลก่อนเข้าเมือง Hiroshima แนะนำให้แวะเที่ยวเมืองเล็กๆ ที่ชื่อว่า Onnomichi ด้วย เมืองเล็กๆ ในอ้อมกอดของภูเขาที่เป็นเส้นทางลำเลียงสินค้าทางทะเลมายาวนานแห่งนี้โดดเด่นจากบ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นและวัดเก่าแก่อย่าง Senkoji Temple ที่ตั้งเรียงกันตามเนินเขา ลัดเลาะด้วยทางเดินแคบๆ ตามแนวขั้นบันได โดยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์แนวย้อนยุคของญี่ปุ่นหลายต่อหลายเรื่อง การเที่ยวควรนั่งกระเช้าราคา one way 320 เยนขึ้นมาที่จุดชมวิวก่อน แล้วค่อยเดินลัดเลาะผ่านซอกซอยที่เต็มไปด้วยแมวน่ารักมากมายกลับไปที่จุดเริ่มต้น
การเดินทาง: เดิน 15 นาทีจากสถานีรถไฟ Onomichi



เล่นกับเจ้ากระต่ายสุดแสนน่ารักที่ Ōkunoshima
สถานที่ท่องเที่ยวเกิดใหม่ที่กำลังมาแรงในช่วงหลังสำหรับผู้มาเยือนจังหวัด Hiroshima คือ Ōkunoshima หรือ Usagi Jima (Rabbit Island) คือเกาะประวัติศาสตร์ทางทิศตะวันออกกลางทะเลเซโตะ แน่นอนว่ามีชื่อเสียงโด่งดังจากการเป็นสถานที่อยู่อาศัยของกระต่ายมากมายตามธรรมชาติ
ในอดีตเมื่อราวปี 1920 เกาะนี้ถือเป็นเกาะลับของกองทัพญี่ปุ่นเพราะเป็นที่ตั้งของโรงงานไฟฟ้า และโรงงานผลิตก๊าซพิษและอาวุธเคมีต่างๆ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงเกาะแห่งนี้ได้ปิดตัวลงอย่างถาวร ก่อนที่จะมีการก่อสร้างโรงแรมแห่งแรกและแห่งเดียวบนเกาะเมื่อช่วงทศวรรษ 1960 โดยผูกจุดขายเป็นเรื่องกระต่ายที่พบเห็นได้มากมายบนเกาะกว่า 1,000 ตัว ทุกวันนี้จึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำหรับผู้รักกระต่ายทั้งหลาย
การเดินทาง: ใช้รถไฟ Sanyo Shinkansen ไปที่สถานี Mihara จากนั้นนั่งรถไฟท้องถิ่น Kure Line ไปลงที่สถานี Tadanoumi แล้วนั่งเรือเฟอร์รี่ที่ประมาณทุกๆ 1 ชั่วโมง ตั้งแต่ 07.40-18.40 น. ข้ามไปยังเกาะอีกประมาณ 15 นาที




แต่งกายย้อนยุคชมเมืองเก่าใน Takehara
อีกเมืองเก่าที่น่าค้นหามากๆ คือ Takehara เมืองเล็กๆ ริมฝั่งทะเลเซโตะในเขตจังหวัด Hiroshima ที่ได้ชื่อว่าเป็น “Little Kyoto” เพราะในเขตเมืองรายล้อมด้วยบ้านเรือนสไตล์ญี่ปุ่นโบราณที่อนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี รวมทั้งเป็นที่ตั้งของ Saihoji Temple วัดเก่าแก่อายุกว่า 500 ปีบนเนินเขาเหนือเขตเมืองที่สามารถชมวิวมุมสูงได้
ย่านการค้าดังกล่าวเป็นหนึ่งในบริเวณที่มีผู้คนอยู่อาศัยมาอย่างยาวนานที่สุดในญี่ปุ่น โดยคาดว่ามีคนอาศัยมากว่า 2,000 ปีแล้ว นักท่องเที่ยวนิยมเช่าชุดกิโมโนแบบแท้ๆ เดินเล่นเพื่อให้เข้ากับบรรยากาศญี่ปุ่นดั้งเดิม พร้อมทั้งเลือกซื้อสินค้าที่ทำจากไม้ไผ่ซึ่งเป็นสินค้าประจำเมือง
การเดินทาง: เดินจากสถานีรถไฟ Takehara ประมาณ 10 นาที



ลิ้มลองพิซซ่าญี่ปุ่นสไตล์ Hiroshima
เมนูขึ้นชื่อของเมือง Hiroshima ต้องเป็นโอโคโนมิยากิ หรือเรียกกันง่ายๆ ทั่วไปว่าพิซซ่าญี่ปุ่น โดยแนะนำให้พุ่งเป้าไปที่ Okonomimura ในย่าน Hondori ใจกลางเมืองซึ่งมีลักษณะเป็นตึกที่รวบรวมร้านพิซซ่าญี่ปุ่นเอาไว้มากมายให้เลือกชิมกันได้ตามใจชอบ โอโคโนมิยากิสไตล์ฮิโรชิมะจะค่อยๆ ทำเป็นชั้นๆ เรียงกันไป ไม่ได้คลุกผสมกันทั้งหมดแบบสไตล์โอซาก้า
การเดินทาง: จากสถานีรถไฟ Hiroshima นั่งรถราง Streetcar No.1, 2, 6 ไปลงที่สถานี Hatchobori จากนั้นเดินอีกประมาณ 3 นาที



รำลึกแหล่งประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าของเมือง Hiroshima
ในเมือง Hiroshima มีสถานที่ทางประวัติศาสตร์หลายแห่ง เริ่มจาก Hiroshimajō หรือ Hiroshima Castle ปราสาทที่รู้จักกันอีกชื่อว่า “ปราสาทปลาคราฟ” แห่งนี้ได้รับความเสียหายทั้งหมดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ก็ได้รับการบูรณะให้สวยงามเช่นเดิมในอีก 13 ปีให้หลัง ปัจจุบันเปิดให้เข้าชมด้านในที่เป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าประวัติศาสตร์ของเมืองได้ โดยมีค่าผ่านระตู 370 เยน
เช็ควิธีการเดินทางไปและเวลาเปิด-ปิดได้ที่ www.japan-guide.com

ไปต่อที่ Peace Memorial Park สวนสันติภาพใจกลางเมืองที่สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 1954 เพื่ออุทิศเป็นอนุสรณ์สถานให้กับเหยื่อผู้เสียชีวิตกว่า 140,000 คนจากการทิ้งระเบิดปรมาณูในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยมี Atomic Bomb Dome อนุสรณ์สถานทางประวัติศาสตร์ที่เป็นเหมือนสักขีพยานบอกเล่าถึงความน่าสะพรึงกลัวของระเบิดปรมาณูซึ่งได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกจากองค์การ UNESCO ตั้งอยู่ด้วย สถานที่แห่งนี้เปรียบเหมือนสัญลักษณ์สื่อถึงสันติภาพอันยั่งยืน รวมทั้งความต้องการกำจัดอาวุธนิวเคลียร์ทั้งในปัจจุบันและอนาคต


ปิดท้ายด้วยสถานที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ของเมืองที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์อย่าง Orizuru Tower ตึกสำนักงานข้อมูลท่องเที่ยวของเมืองซึ่งเป็นอีกจุดชมวิวมุมสูง โดยสามารถขึ้นลิฟท์ไปที่หอดูดาวชั้นดาดฟ้าได้ ตั๋วสำหรับผู้ใหญ่อายุเกิน 18 ปีราคา 1,700 เยน เด็ก 12-17 ปี 900 เยน เด็ก 6-11 ปี 700 เยน และเด็ก 4-5 ปี 500 เยน นอกจากนี้ยังมีส่วนที่เปิดเป็นพิพิธภัณฑ์บอกเล่าประวัติของเมืองที่เน้นระบบ interactive ให้ผู้เข้าชมเข้าใจและเห็นความสำคัญของสันติภาพ รวมทั้งกิจกรรมพับนกกระดาษ

เยี่ยมเยียนเกาะศักดิ์สิทธิ์ Miyajima
อีกสถานที่ไฮไลต์ในเขตจังหวัด Hiroshima คือ Miyajima เกาะศักดิ์สิทธิ์สถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอันดับต้นๆ ของญี่ปุ่นที่มีชื่อเสียงจาก Itsukushima-jinja Shrine ศาลเจ้ามรดกโลกอายุเก่าแก่กว่า 1,400 ปี
สัญลักษณ์ของศาลเจ้าแห่งนี้คือ O-Torii หรือเสาโทริอิสีแดงขนาดใหญ่สูง 16 เมตรที่ตั้งอยู่กลางทะเลจนดูเหมือนลอยอยู่ในน้ำในช่วงที่น้ำขึ้น นับเป็นส่วนผสมที่ลงตัวระหว่างวัฒนธรรมกับธรรมชาติ อีกทั้งยังเป็นหนึ่งในเสาโทริอิที่ทำจากไม้ขนาดใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น เปิดให้เข้าชมทุกวัน เวลา 06.30-18.00 น. ค่าเข้าสำหรับผู้ใหญ่ 500 เยน
การเดินทาง: เดิน 5 นาทีจากสถานีรถไฟ JR Miyajimaguchi และต่อเรือเฟอร์รี่อีก 10 นาที (เฟอร์รี่มีทุก 10-15 นาที ตั้งแต่ 06.25-22.42 น. ค่าโดยสารผู้ใหญ่คนละ 180 เยนต่อเที่ยว)



ชมความอลังการของสะพาน Kintaikyo
สถานที่ไฮไลต์ของจังหวัด Yamaguchi คงต้องยกให้ Kintaikyo Bridge สะพานข้ามแม่น้ำ Nishiki แห่งเมือง Iwakuni ซึ่งได้รับการขนานนามให้เป็น 1 ใน 3 สะพานที่งดงามที่สุดในญี่ปุ่น สะพานไม้ที่สร้างขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1673 แห่งนี้มีลักษณะเป็นโค้งเชื่อมต่อกัน 5 ช่วง มีความยาวทั้งหมด 175 เมตร และกว้าง 5 เมตร โดยสร้างขึ้นเพื่อเป็นทางเดินมุ่งสู่ Iwakuni Castle
ในอดีตสะพานดังกล่าวได้รับความเสียหายหลายครั้งจากกระแสน้ำและพายุ ทำให้มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างครั้งใหญ่ในปี 1953 ก่อนบูรณะครั้งใหญ่อีกรอบในช่วงปี 2001-04 ที่ผ่านมา ถ้าอยากเดินข้ามสะพานต้องเสียค่าเข้าราคา 300 เยน โดยเปิดทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง
การเดินทาง: รถบัสจากสถานี Iwakuni ไปที่ป้าย Kintai-kyo ใช้เวลา 20 นาที ค่ารถบัส 250 เยน (รถออกทุก 5-15 นาที) หรือรถบัสจากสถานี Shin-Iwakuni ไปที่ป้าย Kintai-kyo ใช้เวลา 15 นาที ค่ารถบัส 290 เยน (รถออกชั่วโมงละ 2-3 คัน)



Special Thanks: องค์การส่งเสริมการท่องเที่ยวแห่งประเทศญี่ปุ่น (JNTO)