พอเอ่ยปากว่าอยากไปเที่ยวสิงคโปร์ทีไร มิตรสหายสายเที่ยวมักทักท้วงว่านอกจากเมอร์ไลออน สิงโตพ่นน้ำหน้าแฉล้มแล้ว ประเทศนี้ก็ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจเท่าไหร่ แต่ของแบบนี้ลางเนื้อชอบลางยา เรามาครั้งแรกแล้วดันติดใจซะงั้น
ถึงกับหมายมั่นปั้นมือไว้แล้วว่าถ้ามีวันว่างเมื่อไหร่ต้องหาโอกาสกลับมาสำรวจซ้ำให้ทั่วถึงกว่าเดิมแน่นอน เพราะนอกจากจะเที่ยวง่าย สะอาด ปลอดภัย อาหารอร่อย และผู้คนเป็นมิตรแล้ว สิงคโปร์ยังมีหลายแง่มุมที่น่าค้นหาเกินกว่าจะปล่อยผ่านจริงๆ
สิงคโปร์เป็นประเทศที่ถือกำเนิดขึ้นจากการเป็นเกาะเกิดใหม่เล็กๆ ไร้ทรัพยากร แต่ด้วยวิสัยทัศน์ในการพัฒนาอันยิ่งใหญ่ ประเทศที่เล็กที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แห่งนี้จึงผงาดขึ้นมาโดดเด่นบนเวทีโลกอย่างภาคภูมิ พัฒนาในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการผลักดันประเทศไปสู่การเป็นศูนย์กลางทางธุรกิจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความจริงจังกับนโยบายเมืองสีเขียวและการส่งเสริมด้านความคิดสร้างสรรค์อย่างเป็นรูปธรรม
คุณโจ เจ้าหน้าที่การท่องเที่ยวสิงคโปร์ที่พูดภาษาไทยคล่องปร๋อเล่าให้เราฟังว่าสิงคโปร์ตระหนักดีว่าตนเองแทบไม่มีทรัพยากรธรรมชาติ การพัฒนาประเทศจึงต้องขับเคลื่อนด้วย ‘คน’ รัฐบาลจึงให้ความสำคัญกับการศึกษามากเป็นอันดับต้นๆ และไม่ใช่แค่สร้างคนเก่งขึ้นมาเท่านั้น แต่ต้องพัฒนาเมืองให้ครบเครื่องทั้งด้านเศรษฐกิจ ความบันเทิง ไลฟ์สไตล์ และส่งเสริมคุณภาพชีวิตให้ดีด้วย คนเก่งจึงจะอยากใช้ชีวิตอยู่ในประเทศของตนเอง นอกจากนี้เมืองที่น่าอยู่ยังดึงดูดคนรุ่นใหม่หัวกะทิจากทั่วสารทิศให้ใฝ่ฝันเข้ามาแสวงหาโอกาส ซึ่งสิงคโปร์สรรค์สร้างสิ่งเหล่านี้ขึ้นมาได้ภายในหนึ่งชั่วอายุคนเท่านั้น
ทริปนี้เรามีเวลาซอกแซกสำรวจเมืองน้อยมากเนื่องจากจุดประสงค์หลักคือการมาขึ้นเรือสำราญ Mariner of The Seas ทำให้พลาดหลายสถานที่ไปอย่างน่าเสียดาย รอบนี้จึงขอแนะนำบางกิจกรรมไว้พอเป็นไอเดียในการเที่ยวสิงคโปร์แบบสบายๆ เพลิดเพลินได้ทั้งครอบครัว
เกาะเซนโตซ่า (Sentosa)
พื้นที่บริเวณนี้เคยเป็นป้อมปราการที่ทหารอังกฤษใช้ป้องกันการโจมตีทางน่านน้ำมาก่อน ต่อมาเมื่อสงครามสิ้นสุดลง สิงคโปร์ก็ได้พัฒนาเซนโตซ่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวและพักผ่อนหย่อนใจซึ่งรวบรวมความบันเทิงไว้ทุกรูปแบบ ทั้งสวนสนุกระดับโลกอย่าง Universal Studios ชายหาดสามแห่งที่แสนจะมีชีวิตชีวา พิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ พิพิธภัณฑ์ด้านวัฒนธรรม หอคอยชมวิว ร้านอาหารบรรยากาศดี กิจกรรมกีฬา และอื่นๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะต้องการพักผ่อนแนวไหนเกาะแห่งความสุขนี้ก็พร้อมตอบโจทย์ทุกความต้องการ
เราได้ลองเล่น iFly เป็นการสัมผัสประสบการณ์ ‘ฉันบินได้’ ครั้งหนึ่งในชีวิตที่สุดยอดมาก มันคือการเข้าไปลอยตัวใน
ท่อลมขนาดยักษ์ซึ่งจำลองการลอยตัวกลางอากาศ เสมือนเรากำลังโดดร่มออกจากเครื่องบิน ก่อนเล่นจะต้องเข้ารับการอบรมสั้นๆ พร้อมทั้งเปลี่ยนเป็นชุดผ้าร่มคลุมทั้งตัวก่อน และจะมีครูฝึกคอยดูแลอย่างใกล้ชิด เด็กๆ อายุตั้งแต่ 7 ปีขึ้นไปสามารถเล่นได้
ประมาณ 5 โมงเย็นเริ่มแดดร่มลมตก หลังจากเล่น iFly เสร็จ เราก็พากันออกไปเดินสูดอากาศข้างนอก ซึ่งได้ทั้งความสดชื่นจากลมทะเลและความร่มรื่นของต้นไม้ ชวนให้รู้สึกอยากเล่นกิจกรรมกลางแจ้งบ้าง เลยไปเช่าเซกเวย์ (Segway) มาขับวนชมบรรยากาศรอบๆ เซนโตซ่าคนละคัน ครบรอบปุ๊บก็ได้เวลาไปกินมื้อเย็นพอดี
จริงๆ บริเวณชายหาดของเซนโตซ่ามีร้านอาหารน่านั่งหลายร้าน แต่มื้อนี้เจ้าถิ่นพาเราไปที่เซนโตซ่าโคฟ (Sentosa Cove) ย่านอสังหาริมทรัพย์หรูระยับซึ่งส่วนใหญ่ถูกจับจองโดยมหาเศรษฐีต่างชาติ โรงแรมดังของโซนนี้คือ W Singapore – Sentosa Cove ที่พักระดับห้าดาว ราคาเริ่มต้นประมาณคืนละ 10,000 บาท ครอบครัวไหนงบไม่อั้นและอยากสัมผัสบรรยากาศหรูหราทันสมัยแต่ยังไม่ทิ้งความกลมกลืนกับธรรมชาติ ที่พักย่านเซนโตซ่าโคฟจัดว่าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจทีเดียว
จุดที่เราจะดื่มด่ำมื้อเย็นกันในวันนี้คือ Quayside Isle ซึ่งอยู่ติดกับท่าเรือยอร์ชของ ONE°15 Marina Club คลับไลฟ์สไตล์ริมทะเลที่นำเสนอการพักผ่อนสุดพิเศษแบบครบวงจร แน่นอนว่าราคาก็พิเศษด้วยเช่นกัน เราจึงมาที่นี่เพื่อกินข้าวเท่านั้น บริเวณ Quayside Isle มีคาเฟ่และร้านอาหารหลากหลายสไตล์รวม 13 ร้าน หนึ่งในนั้นเป็นร้านอาหารไทยด้วย แต่มื้อนี้พวกเราเลือกกินเป็นอาหารอิตาเลียน
คลาร์กคีย์ (Clarke Quay)
อิ่มท้องเรียบร้อยเราก็ไปต่อกันที่คลาร์กคีย์ ย่านแฮงก์เอาท์ยอดนิยมของทั้งชาวสิงคโปร์และนักท่องเที่ยว โดยนั่งรถยนต์ไปจากเซนโตซ่าโคฟใช้เวลาประมาณ 20 นาที คลาร์กคีย์คือย่านท่าเรือเก่าบริเวณปากแม่น้ำสิงคโปร์ที่ปัจจุบันกลายร่างมาเป็นแหล่งสังสรรค์ยามราตรีอันคึกคัก มีร้านอาหารและบาร์ริมน้ำให้เลือกนั่งจิบเครื่องดื่มชิลล์ๆ มากมาย หรือถ้าอยากแดนซ์กระจายก็มีผับอยู่หลายแห่ง นอกจากนี้ยังมีเครื่องเล่นสุดเอ็กซ์ตรีมอย่าง G-Max และ GX-5 รอส่งมอบความเสียวกระชากใจให้แก่คนที่ชอบความท้าทาย
แต่วันนี้เราเต็มที่กับกิจกรรมมาพอสมควรแล้วจึงแค่เดินเล่นบนสะพานรับลมเย็นชมแสงไฟสวยๆ แวะฟังเพลงจากนักดนตรีเปิดหมวก ก่อนจะไปหาค็อกเทลจิบกันคนละแก้วในร้านเอาท์ดอร์ที่มีดนตรีสดเล่นเพลงสากลหวานๆ เคล้าคลอไปกับแสงไฟสลัวซึ่งทุกคนให้ความเห็นตรงกันว่าสถานที่โรแมนติกขนาดนี้ควรเก็บไว้มากับแฟน สำหรับแก๊งสาวๆ ล้วนก็ถือว่ามาเซอร์เวย์เล่นๆ แล้วแยกย้ายกันไปพักผ่อนดีกว่า
ฮาจิเลน (Haji Lane)
วันสุดท้ายของทริป เราลงจากเรือสำราญช่วงเช้าและเหลือเวลาพอสมควรก่อนจะขึ้นเครื่องกลับเมืองไทยไฟลท์เย็นจึงพากันมาเดินถ่ายรูปเล่นที่ฮาจิเลน ตรอกเล็กๆ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากย่านลิตเติ้ลอินเดีย ไฮไลต์ของที่นี่คือภาพกราฟฟิตี้บนกำแพงสองข้างทาง สีสันสดใสดึงดูดใจให้ถ่ายรูปกันแบบรัวๆ ร้านค้าบางส่วนขายของที่ระลึกและสินค้าแฟชั่นทั่วไปไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก แต่ก็มีหลายร้านที่ขายสินค้าแฮนด์เมดหรือของอาร์ตๆ คัดสรรมาตามรสนิยมเจ้าของร้าน ตกแต่งร้านสวยงามมีสไตล์เหมาะแก่การมาเดินเที่ยวชมสะสมแรงบันดาลใจ รวมถึงมีคาเฟ่น่านั่งกระจายตัวอยู่มากมาย เราเล็งไว้ว่าจะแวะร้าน Selfie Coffee ซึ่งมีความพิเศษคือเขามีอุปกรณ์ที่สามารถพิมพ์รูปถ่ายลงไปบนครีมในแก้วกาแฟได้ แต่วันที่เราไปเครื่องดันเสียพอดีจึงอดไปตามระเบียบ
ร้านค้าและคาเฟ่ส่วนใหญ่ในฮาจิเลนจะเปิดประมาณ 10 โมงเช้า เดินทางมาได้อย่างสะดวกสบายด้วยรถไฟใต้ดินลงสถานี Bugis ทางออก B หรือสถานี Nicoll Highway ทางออก A แต่ครั้งนี้เราใช้บริการรถสามล้อถีบหรือที่เรียกว่า Trishaw โดยขึ้นจากจุดจอดรถที่ถนน Queen บริเวณระหว่าง Fu Lu Shou Complex กับ Albert Centre Market & Food Centre บริษัทที่ให้บริการมีชื่อว่า Trishaw Uncle คนขับส่วนใหญ่ก็สูงวัยสมชื่อ
การใช้บริการ Trishaw นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการชมเมืองสำหรับนักท่องเที่ยวที่มีเวลาน้อยหรือมีเด็กและผู้สูงอายุมาด้วย แต่แนะนำว่าถ้าสองเท้ายังสู้ไหว การเดินลัดเลาะไปตามตรอกเล็กซอกน้อยนี่แหละคือวิธีการซอกแซกสำรวจสิงคโปร์ที่เหมาะสมที่สุด ไม่แน่คุณอาจเจอร้านเก๋หลบมุมนอกไกด์บุ๊กก็เป็นได้
Content by PondJaa