[Review] EVA Air Business Class – ความเรียบง่ายสบายสไตล์เอเชีย

เมื่อช่วงอาทิตย์ที่แล้ว ผมได้เดินทางไปยังกรุงเวียนนา เมืองหลวงของประเทศออสเตรีย เพื่อร่วมงาน ฉลองครบรอบ 25 ปี สายการบิน EVA Air ที่เปิดเส้นทางการบินระหว่างไทเป – กรุงเทพฯ – เวียนนา เลยมีโอกาสได้ใช้บริการ Business Class ของสายการบินในเส้นทางไปกลับกรุงเทพฯ – เวียนนา ครับ

มาดูกันเลยว่าบริการของสายการบินที่ได้รับหลายรางวัลของ Skytrax มาตลอดอย่าง EVA Air จะเป็นอย่างไรบ้าง

อย่างที่รู้ว่าถ้าบิน Business Class ไม่ว่าของสายการบินใดก็จะได้รับสิทธิพิเศษตั้งแต่ขั้นตอนเช็คอินเลย ไม่ว่าจะเป็น น้ำหนักกระเป๋ามากพิเศษ เคาน์เตอร์เช็คอินเฉพาะ และช่อง fast lane สำหรับผ่านด่านตรวจรักษาความปลอดภัยก่อนเข้า gate ซึ่งไม่ได้น่าแปลกใจเท่าไร แต่พอเดินมาถึงเลาจน์ต้องบอกว่า “พิเศษ” จริงๆ ครับ เพราะเป็นเลาจน์ของ EVA Air โดยเฉพาะ มากไปกว่านั้นคือบรรยากาศด้านในที่ดูสบาย กว้างขวาง ตกแต่งทันสมัย และเครื่องดื่มของกินเพียบ

เนื่องจากไฟลท์ออกค่อนข้างดึกคือประมาณตี 3 ครึ่ง ผมเลยใช้เวลาอยู่ในเลาจน์แบบคุ้มสุดๆ ทั้งดื่ม ทาน นอนพัก เล่นอินเตอร์เน็ต จนถึงเวลาเครื่องออกครับ ถ้าใครมีโอกาสบิน Business Class ของ EVA Air แนะนำให้มาใช้บริการเลย
ดีมากแบบไม่ต้องไปแย่งใช้กับใครเลย

ได้เวลาขึ้นเครื่องกันแล้ว ด้านในห้องโดยสารชั้นธุรกิจที่มีทั้งหมด 36 ที่นั่ง จัดเก้าอี้เป็นแบบ 1-2-1 ถ้ามาเป็นคู่นั่งตรงกลางก็สวีทกันฟินเลยครับ แต่ผมมาคนเดียวเลยเลือกนั่งริมหน้าต่างเพื่อความเป็นส่วนตัว

เดินมาถึงที่นั่งยังไม่ทันยกกระเป๋าเก็บชั้นบน พนักงานต้อนรับก็เข้าประชิดตัวทันที ถามว่าจะรับ welcome drink เป็นอะไร ซึ่งมองผู้โดยสารรอบๆ ก็เห็นสั่งเป็นแชมเปญกันเกือบหมด แต่ไฟลท์ดึกมากแล้ว ผมเลยขอมาแค่น้ำเปล่าครับ

เท่าที่ดูสไตล์การตกแต่งเก้าอี้และพื้นที่ใช้สอยรอบข้างนั้นเน้นความเรียบง่ายที่ใช้งานได้จริง เพราะแม้จะดูไม่ได้กว้างขวางมากนัก แต่พื้นที่ทั้งหมดล้วนใช้ประโยชน์ได้เต็มเม็ดเต็มหน่วย ช่องใส่และวางของที่สามารถวางของใช้จำเป็นทั้งหมดได้ครบเลย รวมทั้งแผงไฟที่มีช่องเสียบปลั๊กทั่วไปและ USB ครบ

เครื่อง take off ไปได้ไม่นาน แอร์สาวสวยมาปลุกเพื่อนำอาหารตามที่เราสั่งตั้งแต่ก่อนเครื่องขึ้นมาเสิร์ฟ ไล่ตั้งแต่ออร์เดิร์ฟที่เป็นขนมปังโปะหน้าด้วยไข่กุ้งและมายองเนสวาซาบิ กับอีกชิ้นที่โปะด้วยแฮมและชีส ตามมาด้วยซุปมันฝรั่ง ต่อด้วย main course ที่มีให้เลือกได้ 3 เมนู คือ สเต๊กเนื้อทานกับพาสต้า บะหมี่หมูแบบไต้หวัน และแซนด์วิชเป็ดรมควัน ผมเลือกจัดสเต๊กเนื้อมาครับ เนื้อดีใช้ได้เลย แต่รสชาติออกจืดไปหน่อย ต้องใช้เกลือกับมัสตาร์ดช่วยจะกลมกล่อมยิ่งขึ้น และปิดท้ายด้วยผลไม้ตามธรรมเนียม

ท้องอิ่มแล้วก็ได้เวลานอนยาวครับ พนักงานต้อนรับจัดการปูเตียงที่แปลงร่างจากเก้าอี้ให้อย่างสวยงามน่านอน รออะไร นอนยาวสิครับ

ก่อนเครื่องบินลงประมาณ 2 ชั่วโมง แอร์สาวมาปลุกเพื่อเสิร์ฟอาหารเช้าที่เราสั่งไว้ตั้งแต่ก่อนนอนอีกครั้ง ผมเลือกสไตล์เอเชียบ้าง โดยจัดมาให้เป็นข้าวต้มร้อนๆ ทานกับเครื่องเคียงกับแกล้มแบบจีน เช่น หมูหยอง ผักดองนานาชนิด ไข่เจียว และเต้าหู้ยี้ ซึ่งต้องบอกว่าอร่อยมาก ได้ฟีลเอเชียแถบบ้านเราที่คุ้นเคยดีมากครับ เลยขอเบิ้ลข้าวต้มไป 2 ถ้วยเต็มให้อิ่ม พร้อมลงเครื่องสู้อากาศหนาว!! ^^

ขอปิดท้ายด้วยภาพบรรยากาศในงานกาล่าดินเนอร์ฉลองครบรอบ 25 ปีเส้นทางเชื่อมต่อระหว่างไทเป – กรุงเทพฯ ไปยังกรุงเวียนนาของสายการบิน EVA Air ที่ผมได้รับเกียรติไปเป็นแขกร่วมงานมาสักหน่อยครับ

งานนี้จัดขึ้นที่ Naturhistorisches Museum หรือ Natural History Museum ใจกลางกรุงเวียนนา ซึ่งภายในงานเต็มไปด้วยแขกผู้มีเกียรติมากมายในแวดวงการสายการบินและการท่องเที่ยวในยุโรป

ขอขอบคุณสายการบิน EVA Air และ Vienna Tourist Board มา ณ ที่นี้ด้วยครับ