สวัสดีค่ะ Kan-Ni-Ka Zine นะคะ วันนี้ซายได้รับเกียรติจาก “เที่ยวเอง” ให้ประเดิมเขียนรีวิวเกี่ยวกับเรื่องเที่ยวรีวิวแรกในชีวิตซึ่งครั้งนี้ซายไปโตเกียวมาอีกแล้ว! จริงๆ ก็ไปมาหลายครั้งแล้วนะคะแต่ยังไม่รู้สึกเบื่อเลย แต่ละครั้งก็จะไปที่ใหม่บ้าง ซ้ำเดิมบ้างเพราะติดใจ แต่หลักๆ จะเน้นกินมากกว่าเที่ยวเพราะโตเกียวมีร้านอาหารอร่อยดังชนิดที่กินทั้งปียังไม่ครบเลย 555 พี่มาสายกิน! รีวิวนี้จึงค่อนข้างหนักไปในเรื่องอาหารการกินที่ไม่ซ้ำกับทุกครั้งที่ผ่านมาและขอเอาใจตัวเองด้วยการเข้าชม Ghibli Exhibition เพราะหลังจากที่เกิดการแชร์ใน facebook เกี่ยวกับ Ghilbli Expo: From “Nausicaa of the Valley of the wind” to the latest “The red Turtle” ซึ่งเป็น exhibition ของ Studio Ghilbli ฉลองผลงาน 30 ปีที่ผ่านมาและเป็นการรวบรวมผลงานชิ้นแรกจนถึงชิ้นสุดท้ายมาจัดแสดงที่ Roppongi Hills ชั้น 52 ตั้งแต่วันที่ 7 ก.ค. – 11 ก.ย. 59 ที่ผ่านมา สาวกอย่างเราก็ดีดเป็นกุ้งเลยฮะ อยากจิไปสู่จุดนั้นจนจริงๆ
เริ่มจากเคลียร์งานทุกอย่างออกจากตัว หาวันว่างและหยุดงานให้น้อยที่สุดเพื่อให้บรรลุ mission นี้ให้จงได้ ในใจก็คิดว่าจองตั๋วเครื่องบินช่วงนี้ราคาถูกแน่นอนเพราะว่าเป็นหน้าร้อน เคยไปตอนหน้าร้อนตั๋วไป-กลับแค่ 6,xxx บาทเอง (ง.งูล้านตัว) เลือกอยู่หลายสายการบิน สุดท้ายจบที่ AirAsia X เนื่องจากเวลาดีสุดและราคาถูก แต่มีสายการบินอื่นราคาถูกกว่าแต่เวลาบินไม่ดี เราจะออกเดินทางคืนวันพฤหัสที่ 25 ส.ค. ตอน 23.45 น. ถึงโตเกียว 8 โมงเช้าวันที่ 26 เที่ยวต่อได้เลย ส่วนขากลับ เครื่องออกเวลา 20.00 น. วันอาทิตย์ที่ 28 ถึงเมืองไทย เที่ยงคืนกว่าๆ กลับบ้านนอนตื่นเช้าไปทำงานต่อเลย
Happy Holiday 3 วันเท่านั้น ไหนจะอยากกิน ไหนจะอยากดูงาน จึงต้องจัดคิวจัดกิจธุระให้ลงตัวหมดไปทุกอย่างงง (ฮัมเพลงนูโวเบาๆ) ให้ทันในทริปโตเกียว 3 วัน 2 คืนที่จะบังเกิดขึ้น ตามไปกินและชมอีเวนต์กันเลยว่าจะดีจะเจ๋งเบอร์ไหน!!
วันแรก พอเครื่องลงตอน 8 โมงเช้า ผ่านตม. ไปเอากระเป๋า ทำนู่นนี้ก็ 9 โมงครึ่งละ ครั้งนี้ใช้เวลาผ่านตม. ไม่นานอย่างที่คิดนะ ค่อนข้างเร็วเลยแหละ แปลกมากจ้าา
สายการบิน AirAsia X ลงที่สนามบินนาริตะ เดินไปซื้อตั๋วรถไฟเข้าโตเกียว โชคดีที่มีโปรโมชั่นตั๋ว Narita Express
ไป-กลับ 4,000 เยน จากราคาเต็ม 6,000 กว่าๆ ประหยัดได้พอสมควร มุ่งหน้าสู่โตเกียวกันเลย!
ไป-กลับ 4,000 เยน จากราคาเต็ม 6,000 กว่าๆ ประหยัดได้พอสมควร มุ่งหน้าสู่โตเกียวกันเลย!
ถึงกรุงโตเกียวแล้ว เข้าไปเช็คอินและฝากกระเป๋าที่โรงแรมก่อน วันนี้ยังไม่ไปดู Ghilbli Expo แต่ขอจัดซูชิเป็นอันดับแรก เดี๋ยวจะเรียกว่ามาไม่ถึงญี่ปุ่น ร้านนี้มีชื่อว่า Sushi Iwa (鮨 いわ) เป็น Michelin Star 1 ดาว ราคาไม่แพงมากค่ะ ตกคนละ 10,000 เยน รวมน้ำแล้ว แนะนำว่าควรกินตอนกลางวันเพราะว่าราคาจะดีมาก ถ้ากินมื้อดึก กินไปน้ำตาอาจจะร่วงรินได้นะคะ เหอๆ พิกัด 8–5-25 Ginza Cho-ku, Tokyo (Miura Bldg.)
อาหารที่นี่มีรสออกเปรี้ยวเล็กๆ และมีกลิ่นหอมเบาๆ เมื่อได้ลิ้มลอง เรียกว่าดี๊ดี ราคาก็ดี เชฟก็หน้าตาดีนะคะ หุหุ
แต่!! ผลสืบเนื่องจากปีที่แล้วมีลูกค้าที่ชอบจองไปก่อน พอถึงเวลาแล้วไม่ไปกิน ปีที่แล้วร้านซูชิทั่วญี่ปุ่นโดนชิ่งประมาณ 60% ทำให้การจองโต๊ะครั้งนี้เป็นไปอย่างยากลำบาก วิธีการจองคือ 1. โรงแรมจองให้ซึ่งต้องเป็นโรงแรม 5 ดาวเท่านั้น 2. ใช้บัตรเครดิตจอง 3. ให้เพื่อนจองแต่จะต้องรูดการ์ดเพื่อเป็นการมัดจำ ถ้าไม่ไปตามนัดก็จะโดนหักค่ามัดจำ คน 4,860 เยน เป็นค่า cancelation
วันแรกก็ปาไปเกือบค่อนวันละกว่าจะจัดการ mission แรกสำเร็จ เพราะว่าการกินซูชิคืองานศิลปะ ไม่แนะนำสำหรับคนที่ชอบรีบกินรีบไปเพราะมันใช้เวลานานจริงๆ กว่าเชฟจะปั้นแต่ละคำ ละเมียดสุดๆ กว่าจะเสิร์ฟได้ คือกินหมดหนึ่งคำ เชฟยังปั้นแจกลูกค้าไม่หมดเล้ย 55+
ภารกิจต่อไปคือทำธุระของจริงคือคุยงานในเวลาทำการ กว่าจะคุยเสร็จก็เย็นมากแล้ว ขอหาอะไรง่ายกินไม่ต้องพิเศษก็ได้ ที่ญี่ปุ่นร้านไม่ต้องดังอาหารก็อร่อยนะคะ ไม่ต้องคิดมาก
เริ่มวันที่ 2 ต่อเลย วันนี้แหละซายจะพิชิต Ghilbli Exhibition ตามที่ตั้งใจไว้ แต่กองทัพต้องเดินด้วยท้อง มื้อแรกของวันเริ่มด้วยราเมน Fuunji (風雲児) ที่ย่าน Shinjuku ราเมนร้านนี้เคยกินเมื่อเกือบ 10 ปีก่อน จำได้ว่าอร่อยมากและต้องรอคิวนานมากกก อาจจะไม่ตรงคอนเซ็ปต์เท่าไหร่ แต่อยากย้ำเพื่อความแน่นใจว่าใช้ร้านเดียวกันมั้ยเพราะว่าพิกัดของร้านที่เคยกินกับร้านนี้มันอยู่คนละที่กัน หรือความจริงคือจำผิดร้านไปเลย 55 เพราะเคยลองไปหาแล้วครั้งหนึ่งแต่ไม่เจอ อีกอย่างเพื่อนร่วมทริปยังไม่เคยได้ลิ้มลองด้วยจึงพามาโดนซักหน่อย เลยคิดว่าน่าจะเข้าคอนเซ็ปต์ที่วางไว้ได้อยู่ อิอิ
ประเด็นคือราเมนร้านนี้มีความกดดันในการกินเพราะจะมีคนต่อคิวข้างหลังเรา เมื่อเรานั่งโต๊ะปุ๊บก็ควรรีบกินปั๊บ ห้ามดื่มด่ำกับมันมาก รีบซดให้ไว เกรงใจคนต่อคิวบ้าง 555
แต่รอคิวไม่นานมากค่ะ ประมาณ 30 นาที ก็ได้กินแล้ว
นี่คือสั่งชามเล็กที่สุดในร้าน ถ้าเอาชามใหญ่กว่านี้จะมีไข่และสาหร่ายแน่นมากกกกก คือแค่นี้ก็อิ่มมาก พลังงานเพียบอยู่ได้ถึงเย็นแบบไม่ต้องกินอะไรเลย
คิดดูเอาละกัน ขนาดถ่ายรูปราเมนยังต้องรีบๆๆ เลย กลัวคนอื่นรอนาน
อ่านรีวิวเพิ่มเติมได้ที่ Fuunji Review ไปตามนี้ได้เลย ไม่ยาก ราคาดีอิ่มแน่นทั้งวันค่ะ
มาถึงมิชชั่นของวันนี้คือการพิชิต Ghilbli Exhibition โดยนั่งรถไฟใต้ดินไปลงที่สถานี Roppongi ซึ่งมีป้ายบอกทางไปงานตลอดค่ะ
ออกจากสถานีเดินตามทางไป Roppongi Hills เรื่อยๆ เมื่อเดินจนเจอลานกว้างที่มีจุดเด่นคือเจ้าแมงมุมยักษ์ตัวนี้
ตอนนี้ไม่ถึงงานนาจา
ลานแมงมุมที่ทุกคนต้องแวะมาถ่ายรูป เห็นได้ชัดว่าผู้คนส่วนใหญ่เมินแมงมุมตัวนี้เพราะว่าหันไปสนใจพี่โดเรม่อนแทน 555 ทาง Roppongi Hills ได้จัดงานเกี่ยวกับโดเรม่อนเหมือนกันค่ะ พ่อแม่พาลูกพาหลานมาเล่นแถวนี้เพียบเพราะตรงกับวันหยุดเสาร์อาทิตย์ อากาศดีด้วย ฝนเหมือนจะตก แต่ไม่ตก อากาศเย็นสบายเหมือนเดินในห้องแอร์ตลอดเวลา
พี่โดเรม่อนมีทุกซอกทุกมุม อยากจะถ่ายรูปบ้าง แต่เด็กๆ เนืองแน่นมาก ไม่กล้าแย่งเด็กเนอะ 55
เดินตามป้ายบอกทางที่มีตลอดเป็นระยะๆ ไปจนถึงทางขึ้นเพิ่อเข้าชม Exhibition พอดีตอนไปรีบมากเพราะมัวแต่แวะกินกาแฟ เดินถ่ายรูปไปเรื่อยเปื่อยจนเริ่มเลทเลยรีบจ้ำ ทำให้ลืมถ่ายรูปทางเข้ามา แหะๆ แต่มีรูปบันไดทางขึ้นแทน พอถูๆไถๆ ได้อยู่นะคะ
วันเสาร์คนต่อคิวค่อนข้างเยอะ เพื่อนที่มาก่อนหน้านี้ไปวันธรรมดาบอกว่าเร็วมากคิวไม่นานเท่าไหร่ ช่วงเวลาแห่งการต่อคิวเริ่มขึ้นแล้วค่ะ ช่องขายตั๋วมีทั้งหมด 6 ช่อง ต่อคิวไม่นานมากเดินเรื่อยๆ ไปตามแถว
ในที่สุดก็ได้ตั๋ว! แต่ต้องต่อคิวขึ้นลิฟท์อีก รอลิฟท์ไม่ค่อยนานเพราะลิฟท์ไปถึงชั้น 52 ใช้เวลาไม่ถึง 5 นาที พูดเลย เร็วมาก!
พอขึ้นไปถึงชั้น 52 เดินตามป้ายไปเลยค่าา เมื่อเดินเข้าไปถึงงานอย่างแรกที่ทำคือต้องถ่ายรูปคู่กับ Tokyo Tower ที่เป็นวิวด้านหลัง งาน Exhibition ถ่ายให้ฟรีเป็นรูปเล็กๆ นะคะ ถ้าอยากได้รูปใหญ่ต้องซื้อเอาค่ะ
เข้าไปชมงานกันเลยค่ะ แต่ไม่ต้องคิดนะคะว่าอยากถ่ายรูปหรืออ่านเรื่องราวประวัติความเป็นมาเพราะว่าทั้งหมดเป็นภาษาญี่ปุ่น ส่วนเรื่องถ่ายรูปคิดว่าคนที่ชอบเข้าพิพิธภัณฑ์น่าจะรู้ดีว่ามิวเซียมห้ามถ่ายรูป งานนี้ก็เหมือนกัน ทางจิบลิต้องการให้ติ่งอย่างพวกเราเสพไว้ในความทรงจำเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
บรรยากาศตอนเดินดูคงได้แต่เล่านะคะ ข้างในส่วนใหญ่มีแต่รูปภาพและสเก็ตงานก่อนที่จะเริ่มสร้างอนิเมชั่น The red turtle ซึ่งคล้ายกับในมิวเซียมค่ะ และไปจบที่ของที่ระลึกของทุกเรื่อง เดินไปอีกนิดเราจะได้เข้าโซนถ่ายรูปแล้ว ไม่น่าเชื่อมีด้วย… ดีใจ!!
เราจะได้ถ่ายรูปกับแมวรถเมล์ในเรื่อง My Neighbor Totoro กันค่าา
ปกติแมวตัวนี้จะโชว์อยู่ที่มิวเซียมซึ่งให้เด็กเข้าไปชม เด็กโข่งอย่างเราก็ยืนมองไป เสพความทรงจำไปเรื่อยๆ แต่มาที่งานนี้เค้าไม่จำกัดอายุค่ะ 🙂
ปกติแมวตัวนี้จะโชว์อยู่ที่มิวเซียมซึ่งให้เด็กเข้าไปชม เด็กโข่งอย่างเราก็ยืนมองไป เสพความทรงจำไปเรื่อยๆ แต่มาที่งานนี้เค้าไม่จำกัดอายุค่ะ 🙂
ถ่ายรูปกับแมวเสร็จก็จะเข้าส่วนที่เป็นไฮไลต์และตอนจบของงานจริงๆ เรียกว่าเป็นโซนปล่อยของ นั่นก็คือ การสร้างโมเดลจำลองขึ้นมาเพื่อใช้ถ่ายทำในอนิเมชั่น คือไม่รู้เลยว่ามาจากเรื่องอะไรเพราะว่าหลังๆ ยังดูอนิเมชั่นของจิบลิไม่ครบเหมือนกัน
แต่ส่วนที่เจ๋งก็คือการทำให้เรือบินเคลื่อนไหวขึ้นลงได้และมีเมืองจำลองเล็กๆ อยู่ข้างหลังซึ่งเมื่อดูใกล้ๆ จะเห็นว่างานละเอียดมากจริง
ยังคงคอนเซ็ปท์การเป็น Ghilbli Studio ไว้อย่างชัดเจน ประทับใจมากค่ะ ถึงเราจะไม่เข้าใจภาษาญี่ปุ่นเลย แต่เห็นคนญี่ปุ่นที่ไปดูงานทุกคนตั้งใจอ่านทุกคำก็รู้เลยว่าคำบรรยายที่เขียนไว้ตามรูปภาพต่างๆ ต้องยอดเยี่ยมสุดๆ ถ้าอ่านออกน่าจะได้เข้าใจการทำ exibition นี้มากขึ้นอ่ะ แต่แค่นี้ก็ฟินจะแย่ละ 555
จบภารกิจตามความตั้งใจ แวะเดินเล่นแถว Roppongi นิดหน่อยก็ได้เวลากินข้าวเย็นแล้ว เย็นนี้ตั้งใจจะไปกินเทนด้งกัน
ร้านนี้มีชื่อว่าชื่อ Tendon Kaneko-Hannosuke (天丼 金子半之助) ชื่อยาวมากกก #คิวก็ยาวนานมากเช่นกัน เราไปถึงร้านประมาณ 5 โมงเย็น กว่าจะได้กินเกือบทุ่มนึง เบาๆ ข่ะ
ร้านนี้มีเมนูเดียวคือเทมปุระที่เป็นอาหารทะเล กุ้ง ปลาหมึก ปลาไหล ผัก สาหร่าย แต่มีซุปให้เลือกค่ะ ชุดนี้อิ่มไปถึง
พรุ่งนี้เช้าเบย อิ่มมากจริงๆ ราคาก็สมเหตุสมผลด้วย มื้อนี้จ่ายไปประมาณ 1,000 เยน ตกเงินไทย 300 กว่าบาทค่ะ
พรุ่งนี้เช้าเบย อิ่มมากจริงๆ ราคาก็สมเหตุสมผลด้วย มื้อนี้จ่ายไปประมาณ 1,000 เยน ตกเงินไทย 300 กว่าบาทค่ะ
ตามพิกัดนี้ไปเลย 1-11-15 Nihonbashimuromachi Chuo, Tokyo: Tendon Kaneko-Hannosuke
แค่ 1 นาทีจากสถานีรถไฟใต้ดิน Mitsukoshi-mae
แค่ 1 นาทีจากสถานีรถไฟใต้ดิน Mitsukoshi-mae
จบวันที่ 2 แบบคุ้มมากๆ ค่ะ
ไปต่อกันในวันสุดท้ายเลยดีกว่า ตอนแรกว่าจะตื่นเช้าไปตลาดปลา แต่ตอนกลางคืนหาข้อมูลดูปรากฏว่าตลาดปลาปิดวันอาทิตย์ (คือไม่เคยได้ไปตลาดปลาเลย) ก็เลยลงเอยที่ตื่นเมื่อไหร่ก็ออกไปกินละกัน 555 จบง่ายแบบนี้เลยแหละ
10 โมง Check out ออกจากโรงแรมมุ่งหน้าไปที่ย่าน Asakusa เพื่อไปกินโซบะที่ร้านที่เปิดมายาวนานกว่า 100 ปี เก่าแก่มากกก ร้านนี้มีชื่อว่า Namiki Yabusoba (並木藪そば) อยู่ใกล้ๆ วัดอาซากุซะเลยค่ะ
รสชาติจะเน้นเค็มหน่อยนะคะ ค่อยๆ เทซอส ไม่ต้องเทใส่ถ้วยหมดเพราะว่าจะเค็มมาก ทางร้านจะเดินเสิร์ฟน้ำซุปให้เอาน้ำซุปเทใส่ถ้วยซอสที่เหลือแล้วซด เรียกว่าสดชื่นเลยแหละ คือดี
ไปตามพิกัดนี้ได้เลยฮะ Namiki Yabusoba
หมดภารกิจเรื่องกินไปอีกหนึ่ง แวะไหว้พระที่วัดอาซากุซะเอาฤกษ์เอาชัยเล็กน้อยก่อนกลับ
ต่อด้วยเรื่องกินอีกตามสูตร เดินอ้อมไปหลังวัดจัดน้ำแข็งใสที่ร้าน Asakusa Naniwaya (淺草浪花屋)
ไปตามพิกัดนี้นาจา Asakusa Naniwaya ไม่หลงแน่นอน แต่กว่าพี่จะหาเจอก็หลงหลายทีอยู่ 555 เป็นเพราะความไม่ดูแผนที่ก่อน คริคริ
เมนูขึ้นชื่อคือสตรอว์เบอร์รี่น้ำแข็งใส แต่พอดีไม่ชอบสตรอว์เบอร์รี่เลยสั่น้ำแข็งใสถั่วบด (เรียกเองนะ) ส่วนเพื่อนร่วมทริปสั่งน้ำแข็งใสสตอรว์เบอร์รี่ค่ะ
เมนูภาษาอังกฤษไม่มีนะ เปิดเว็บ chillchilljapan.com หารูปแล้วจิ้มสั่งเอาค่ะ
ได้เวลาเตรียมตัวกลับบ้าน เราไม่ได้ซื้ออาหารตอนซื้อตั๋วเครื่องบินเพราะฉะนั้นอูด้งที่สนามบินนาริตะจึงเป็นทางเลือก มาญี่ปุ่นทุกครั้ง อิ่มไม่อิ่มต้องโดนอูด้งที่สนามบินก่อนขึ้นเครื่อง 555 เปลี่ยนร้านกินทุกครั้งก็พบว่ามันอร่อยทุกร้านนน! แนะนำเลยค่ะ ไม่เชื่อก็ลองดูเรย 😀
อิ่มสบายใจก่อนขึ้นเครื่อง นั่งยาวกลับถึงเมืองไทยโดยสวัสดิภาพ
3 วันอัดแน่นกับการกิน และ ความฟิน เจอกันรีวิวหน้านะคะ
Photo by @khun_nick
Content by @kannikazine