เที่ยวเอง BENELUX – GERMANY – FRANCE ตอนที่ 7 “West GERMANY” เที่ยวตามแนวแม่น้ำไรน์: Cologne – Bonn – Bacharach

เที่ยวเอง รีวิว โคโลญน์ บอนน์ เยอรมัน cologne bonn bacharach germany
เที่ยวเอง ย้อนรอยทริป “เบเนลักซ์ – เยอรมัน – ฝรั่งเศส” อีกครั้ง

เช้าวันที่ 5 ของทริป เราออกจากประเทศเนเธอร์แลนด์ทางเมือง Arnhem เข้าสู่ประเทศเยอรมันฝั่งตะวันตก
โดยจุดหมายแรกบนแผ่นดินเยอรมันก็คือเมือง Köln หรือ Cologne ที่คนไทยรู้จักกัน

photo credit: www.rhinecycleroute.eu

อ่านรีวิวเที่ยว 7 เมืองของเบลเยี่ยมและเนเธอร์แลนด์ ที่เราไปมาก่อนหน้านี้ได้ที่
เที่ยวเอง BENELUX – GERMANY – FRANCE ตอนที่ 1 “Dinant, BELGIUM” เมืองริมน้ำอันงดงามดุจภาพวาด
เที่ยวเอง BENELUX – GERMANY – FRANCE ตอนที่ 2 “Brussels, BELGIUM” เมืองแห่งจัตุรัสกลางเมืองที่สวยที่สุดในโลก
เที่ยวเอง BENELUX – GERMANY – FRANCE ตอนที่ 3 “Brugge, BELGIUM” เมืองคูคลองสุดสวยจนต้องมาซ้ำ
เที่ยวเอง BENELUX – GERMANY – FRANCE ตอนที่ 4 “Gent, BELGIUM” เดินคูลๆ ในเมืองคูคลอง
เที่ยวเอง BENELUX – GERMANY – FRANCE ตอนที่ 5 “Amsterdam, NETHERLANDS” เสพสุขสีสันแห่งการใช้ชีวิต
เที่ยวเอง BENELUX – GERMANY – FRANCE ตอนที่ 6 “Giethoorn, NETHERLANDS” หมู่บ้านริมคลองน่ารักระดับโลก

เมื่อคืนเราค้างคืนที่เมือง Zwolle ครับ จากเมืองนี้จะเดินทางเข้าเยอรมันได้โดยนั่งรถไฟไปที่เมือง Arnhem ใกล้พรมแดน (ส่วนมากแล้วการเดินทางจากเมืองต่างๆ ของเนเธอร์แลนด์ไปเยอรมันจะต้องมาตั้งหลักที่เมืองนี้เสมอ) แล้วเปลี่ยนเป็นขบวนรถไฟท้องถิ่นหรือรถไฟด่วนพิเศษ (ICE) ไปยังเมืองต่างๆ ของเยอรมัน

photo credit: eurosailtravel.com

ออกจากที่พัก เดินราว 650 เมตรไปสถานีรถไฟ Station Zwolle

เราจะใช้บัตรโดยสารรถไฟยุโรป Eurail Global Pass 1st Class เดินทางโดยรถไฟฟรีช่วงจาก Zwolle ถึง Arnhem ส่วนช่วงต่อจาก Arnhem ไป Cologne ก็ใช้ Eurail Pass ประเภทนี้หรือประเภทอื่นที่ครอบคลุมรถไฟทั้งของเนเธอร์แลนด์และเยอรมันโดยสารรถไฟฟรีได้เช่นกันถ้าเลือกใช้รถไฟขบวนท้องถิ่นซึ่งต้องเปลี่ยนอีก 2 ครั้ง (ถ้าจำไม่ผิด) กว่าจะถึง Cologne  แต่เราให้ตัวแทนจำหน่าย Eurail Pass ชื่อ G.M. Tour & Travel จองที่นั่งของรถไฟด่วนพิเศษขบวน ICE เวลา 09.08 น. ไว้ล่วงหน้าแล้ว เสียค่าจองคนละ 9 ยูโร จึงนั่งรถไฟยาวจาก Zwolle ถึง Cologne ได้เลยโดยไม่ต้องเสียเวลาซื้อและจองที่นั่งที่สถานีรถไฟก่อนขึ้นรถและที่นั่งของขบวน ICE อาจถูกจองเต็มได้ด้วย

(ปกติตั๋วรถไฟ Zwolle – Köln (Cologne) ชั้น 2 ราคา 29 ยูโร)

07.50 น. รถไฟขบวน NS Intercity 3629 ออกเดินทางจาก Station Zwolle นั่งแค่ชั่วโมงเดียวก็ถึงสถานีรถไฟกลาง Arnhem Centraal ลงรถไฟไปต่อขบวน ICE International 105 ที่จะออกจากชานชาลา 9 ตอน 09.08 น. รถไฟความเร็วสูงขบวนนี้ใช้เวลาอีกแค่ 1 ชั่วโมง 37 นาทีก็เดินทางถึงสถานีรถไฟกลาง Köln Hbf (Hauptbahnhof) ในเวลา 10.45 น. (ใช้เวลาเดินทางรวม 2 ชั่วโมง 55 นาที)

เช็คตารางเวลาและราคาตั๋วรถไฟเนเธอร์แลนด์ได้ที่ www.ns.nl

เดินเข้าไปยังโถงกลางของสถานีรถไฟเพื่อฝากกระเป๋าเดินทางไว้ก่อน งมหาวิธีการฝากอยู่หลายนาทีเหมือนกันครับ ค่าฝากกระเป๋าที่นี่ 2 ชั่วโมง ราคา 3 ยูโร ถ้าฝากเกินจะคิดเพิ่มอีก 3 ยูโร ฝากได้ไม่เกิน 24 ชั่วโมง

พร้อมเที่ยว Köln หรือ Cologne แล้ว

โคโลญน์คือเมืองใหญ่ที่สุดของ Nordrhein-Westfalen (North Rhine-Westphalia) รัฐขนาดใหญ่ทางตะวันตกของประเทศ และเป็นเมืองใหญ่อันดับที่ 4 ของเยอรมนี แต่บริเวณกลางเมืองซึ่งเป็นที่ตั้งของสิ่งก่อสร้างสำคัญๆ ประจำเมืองมีขนาดไม่ใหญ่เลย เดินได้ทั่ว วนไปวนมาง่ายๆ ก็กลับมาที่จุดตั้งต้นตรง Kölner Dom (Cologne Cathedral) ด้านหน้าสถานีรถไฟกลาง

photo credit: www.hotelkoenigshofkoeln.de

ผมเคยมาโคโลญน์แล้วเมื่อ 11 ปีก่อน ครั้งนี้จึงแค่แวะมาเดินเล่นและพักรับประทานอาหารกลางวันนิดหน่อยพอและเมืองนี้ก็ไม่ได้มีอะไรให้เที่ยวชมมากมายด้วยครับ

ออกจากสถานีรถไฟกลางไปยัง Bahnhofsvorplatz ก็เห็น Kölner Dom ตั้งสูงตระหง่านอยู่เลย

Kölner Dom หรือ Cologne Cathedral หรือชื่ออย่างเป็นทางการคือ Hohe Domkirche Sankt Petrus (High Cathedral of Saint Peter) คือมหาวิหารแห่งโคโลญน์ที่เริ่มก่อสร้างในปีค.ศ. 1248 เพื่ออุทิศให้นักบุญปีเตอร์และพระแม่มารี โดยต้องใช้เวลาสร้างยาวนานกว่า 600 ปีจึงแล้วเสร็จสมบูรณ์ในปีค.ศ. 1880

มหาวิหารศิลปะโกธิคอันยิ่งใหญ่แห่งนี้เป็นศาสนสถานคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกที่โดดเด่นด้วยหอคอยแฝดคู่สูงถึง 157 เมตร อาคารของมหาวิหารมีความกว้าง 86 เมตร และยาว 144 เมตร นับเป็นวิหารที่ใหญ่และสูงที่สุดในโลกในสมัยนั้น มหาวิหารโคโลญน์ได้รับการประกาศให้เป็นมรดกโลกโดยองค์การยูเนสโกเมื่อปีค.ศ. 1996

โบสถ์เปิดให้เข้าชมทุกวัน ช่วงเดือนพ.ย.-เม.ย. 06.00-19.30 น., พ.ค.-ต.ค. 06.00-21.00 น.

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit Cologne Cathedral

เดินไปทางอาคาร Köln Tourismus Information อ้อมไปยังด้านหอคอยคู่ของมหาวิหาร

ตรงผ่านหอคอยคู่ไปจนถึงถนน Am Hof เลี้ยวซ้ายเดินอีกนิดก็ถึงสามแยกจุดตัดกับถนนแคบๆ ชื่อ Unter Taschenmacher มองเข้าไปก็เห็นยอดแหลมของ Kölner Rathaus (Cologne City Hall) ที่ว่าการเมืองโคโลญน์เป็นที่ว่าการเมืองที่เก่าแก่ที่สุดในเยอรมันที่ยังใช้งานอยู่จนทุกวันนี้

เดินเลยไปอีกนิดแล้วเลี้ยวขวาเข้าถนน Bechergasse ไปยัง Alter Markt หรือตลาดใจกลางเมืองเก่าโคโลญน์

เดินผ่านบ้านเรือนสีสันสดใสฝั่งตรงข้ามกับที่ว่าการเมืองไปทางยอดสูงของโบสถ์ Groß Sankt Martin (Groß St. Martin) หรือ Great Saint Martin Church โบสถ์โรมาเนสก์คาทอลิกอันงดงามแห่งนี้คือแลนด์มาร์คใน Altstadt หรือเมืองเก่าโคโลญน์

มุมนี้คือภาพเอกลักษณ์หนึ่งของโคโลญน์ครับ

เดินไปที่ริมแม่น้ำไรน์ บริเวณนี้เรียกว่า Fischmarkt มองไปทางขวาก็เห็นสะพาน Deutzer Brücke

เดินเลียบแม่น้ำไปยังอีกสะพานหนึ่งที่มีชื่อว่า Hohenzollernbrücke (Hohenzollern Bridge)

ขึ้นบันไดทางซ้ายมือก่อนถึงสะพานขึ้นไปบนสะพาน เดินข้ามแม่น้ำไรน์ไปอีกฝั่งแม่น้ำเพื่อถ่ายรูปกลับไปยัง Kölner Dom (Cologne Cathedral) ซึ่งเป็นภาพซิกเนเจอร์ของเมืองโคโลญน์

จากนั้นเดินข้ามสะพานกลับไปยังมหาวิหารแห่งโคโลญน์และสถานีรถไฟกลาง Köln Hbf รับประทานอาหารกลางวัน เอากระเป๋าเดินทางที่ฝากไว้ และเตรียมตัวเดินทางต่อไปกรุงบอนน์

เช่นเดียวกันครับ ผมเคยมา Bonn แล้วในทริปเดียวกับโคโลญน์ คราวนี้ขอแวะมารำลึกอดีตเล็กน้อยเพราะวันนี้มีเวลาเหลืออีกเยอะและมี Eurail Pass ใช้ขึ้นลงรถไฟฟรีอยู่แล้ว (ปกติตั๋วรถไฟขบวน IC Köln (Cologne) – Bonn ชั้น 2 ราคา 11.50 ยูโร)

เส้นทางนี้มีรถไฟถี่ครับ ดูตารางรถไฟที่สถานีได้เลย เราจับรถไฟขบวน IC เวลา 13.53 น. นั่งแค่ 19 นาทีก็ถึงสถานีรถไฟกลาง Bonn Hbf แล้ว

เช็คตารางเวลารถไฟเยอรมันได้ที่ Germany train

photo credit: www.britannica.com

Bonn คือเมืองหลวงของอดีตประเทศเยอรมันตะวันตก (Federal Republic of Germany หรือ West Germany) จนกระทั่งได้รวมกับประเทศเยอรมันตะวันออก (East Germany หรือ DDR) ในยุคกำแพงเบอร์ลินล่มสลายเมื่อปีค.ศ. 1990 เหลือเพียงสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีหรือเยอรมันประเทศเดียว โดยมีกรุงเบอร์ลินเป็นเมืองหลวง

แม้กรุงบอนน์จะเคยเป็นเมืองหลวงมาก่อน แต่ตัวเมืองมีขนาดไม่ใหญ่เลย เดินเที่ยวแค่บริเวณศูนย์กลางเมืองก็พอแล้ว สถานีรถไฟก็อยู่ใกล้ๆ กลางเมืองด้วย ใช้เวลาเที่ยวประมาณ 2 ชั่วโมง สบายๆ ครับ

photo credit: www.orangesmile.com

ฝากกระเป๋าเดินทางไว้ที่สถานีรถไฟ ตู้ใกล้ชานชาลาค่าทั้งวัน 5 ยูโร ถ้าเดินออกไปใกล้ทางออกมีตู้สีเหลืองซึ่งถูกกว่า 1 ยูโร

เสร็จแล้วก็เดินออกจากสถานีรถไฟกลาง Bonn Hbf ตรงเข้าถนน Poststraße ประมาณ 250 เมตรก็ถึง Bonner Münsterplatz จัตุรัสกลางเมืองที่มี Beethoven-Denkmal รูปปั้นของ Ludwig van Beethoven หรือบีโธเฟ่น หนึ่งในคีตกวีเอกของโลกซึ่งเกิดและเติบโตที่นี่

มองไปอีกด้านหนึ่งของจัตุรัสก็เห็น Bonner Münster (Bonn Minster) หรือ Minster of St. Martin’s โบสถ์โรมันคาทอลิกเก่าแก่ที่สร้างในช่วงศตวรรษที่ 11-13 ซึ่งมองเห็นได้แต่ไกลเพราะยอดแหลมของโบสถ์ที่มีความสูงถึง 81.4 เมตร

เดินไปที่โบสถ์เล็กน้อย

แล้วเดินเข้าถนน Remigiusstraße (ตรงข้ามกับโบสถ์) ตรงไปอีกแป๊บเดียวก็ถึง Marktplatz ซึ่งเป็นที่ตั้งของ Altes Rathaus หรือที่ทำการกรุงบอนน์หลังเก่าที่สร้างในสไตล์ Rococo ตั้งแต่ปีค.ศ. 1737

เดินเข้าถนน Bonngasse (คนละด้านกับที่ทำการเมือง) แค่ 150 เมตรก็ถึง Beethoven-Haus

บ้านเลขที่ 20 บนถนน Bonngasse คือบ้านเกิดของบีโธเฟ่น ปัจจุบันเปิดเป็นพิพิธภัณฑ์และสถาบันวัฒนธรรมให้ผู้สนใจได้ศึกษาชีวประวัติและผลงานดนตรีของท่าน โดยเปิดให้เข้าชมทุกวันตั้งแต่วันที่ 1 เม.ย.-31 ต.ค. เวลา 10.00-18.00 น. ส่วนวันที่ 1 พ.ย.-31 มี.ค. เปิดวันจันทร์-เสาร์ 10.00-17.00 น. วันอาทิตย์และวันหยุดเปิด 11.00-17.00 น. ค่าเข้าชมสำหรับผู้ใหญ่ราคา 6 ยูโร

ข้อมูลเพิ่มเติมที่ visit Beethoven-Haus

เดินกลับไปยัง Marktplatz ตรงเข้าถนนด้านข้างที่ทำการกรุงบอนน์ไปนิดเดียวก็เห็นอาคารสีเหลืองสดอยู่ทางขวามือ เดินไปยัง Kurfürstliches Schloss (Electoral Palace) เข้าไปในอาคาร

ทะลุออกไปยังสวน Hofgarten ที่สามารถมองเห็นหน้ากว้างของอาคารทั้งหมด

Kurfürstliches Schloss ออกแบบก่อสร้างโดย Enrico Zuccalli ระหว่างปีค.ศ. 1697-1705 ในอดีตเคยเป็นพระราชวังที่ประทับของ Kurfürstentum Köln (Electorate of Cologne) ผู้ปกครองสงฆ์ในโคโลญน์แห่งจักรวรรดิโรมันอันศักดิ์สิทธิ์ ต่อมาในปีค.ศ. 1818 อาคารหลังนี้ได้กลายเป็นอาคารหลักของ Rheinische Friedrich-Wilhelms-Universität Bonn (University of Bonn) หรือมหาวิทยาลัยแห่งกรุงบอนน์

เดินไปจนสุดแนวอาคารสีเหลืองของมหาวิทยาลัยบอนน์ก็เลี้ยวขวาเข้าถนน Am Neutor เดินไปทางโบสถ์ Bonner Münster ที่เห็นอยู่ไม่ไกล

ตรงผ่านโบสถ์ไปก็กลับถึงจัตุรัส Münsterplatz อีกครั้ง เดินไปทางรูปปั้นบีโธเฟ่นแล้วเลี้ยวซ้ายเดินตามถนน Poststraße เส้นทางเดิมกลับสถานีรถไฟ

4 โมงนิดๆ กลับถึงสถานีรถไฟกลาง Bonn Hbf ดูตารางเวลารถไฟแล้วรีบไปขึ้นรถเลยเพราะอีกไม่กี่นาทีรถไฟก็จะออกแล้ว

16.14 น. รถไฟขบวน IC ออกเดินทาง รถไฟขบวนนี้ใช้ Eurail Pass ขึ้นฟรีได้เลยครับ นั่งอีก 32 นาทีเองก็ถึงสถานีรถไฟกลาง Koblenz Hbf เมือง Koblenz

(ปกติตั๋วรถไฟ Bonn – Koblenz ชั้น 2 ขบวน IC ราคา 15.50 ยูโร / ขบวน RE และ RB ซึ่งใช้เวลา 45 นาที – 1 ชั่วโมง ราคา 13.30 ยูโร)

เราจะพักค้างคืนที่เมืองนี้ แต่ไม่มีแผนจะเดินเที่ยวในเมืองเพราะเมืองนี้เหมาะสำหรับใช้เป็นจุดพักในการเดินทางไปเที่ยวเมืองเล็กๆ ริมแม่น้ำไรน์และแม่น้ำโมเซลที่อยู่ไม่ไกล รวมถึงไป Burg Eltz ได้สะดวกกว่าการค้างที่เมืองอื่นด้วย

เย็นนี้เราจึงเลือกนั่งรถไฟไปเดินเล่นและรับประทานอาหารเย็นที่เมือง Bacharach ซึ่งอยู่ห่างจาก Koblenz ไปทางทิศใต้ประมาณ 30 นาที

photo credit: rheinurlaub.de

ออกจากสถานีรถไฟ เดินประมาณ 500 เมตรไปเช็คอินที่โรงแรม ibis Koblenz City เก็บข้าวของให้เรียบร้อยก่อน ห้องพักสำหรับ 2 คนคืนนี้ ราคา 95 ยูโร รวมอาหารเช้า

โรงแรมที่ Koblenz ที่ทำเลดีๆ เดินจากสถานีรถไฟได้ ไม่ต้องนั่งรถเมล์เข้าเมือง มีไม่กี่แห่งครับ เพราะฉะนั้นถ้าวางแผนจะค้างคืนที่เมืองนี้ก็ต้องรีบจองหน่อย ไม่งั้นโรงแรมอาจจะเต็ม

ถ้าจองผ่าน www.booking.com ล่วงหน้า 1-2 เดือน อาจได้ราคาถูกกว่าปกติด้วยนะครับ เราใช้เว็บนี้จองตลอดเพราะใช้ง่าย ดูแผนที่ที่ตั้งสะดวก และเห็นราคาชัดเจนตั้งแต่แรกเลย

www.accorhotels.com

เดินกลับไปที่สถานีรถไฟกลาง Koblenz Hbf ทันขบวน 17.30 น. พอดี รถไฟขบวน RB คือรถไฟท้องถิ่น ใช้ Eurail Pass ขึ้นฟรีได้เลยครับ ไม่ต้องเสียเวลาซื้อตั๋วก่อนขึ้นรถ

เช็คตารางเวลารถไฟเยอรมันได้ที่ Germany train

รถไฟวิ่งเลียบแม่น้ำไรน์ 35 นาทีก็ถึงสถานีรถไฟ Bacharach (จริงๆ น่าจะเรียกว่าป้ายจอดรถไฟมากกว่า)

Bacharach (Bacharach am Rhein) คือเมืองเล็กๆ น่ารักๆ ริมฝั่งแม่น้ำไรน์ เมืองนี้ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักของคนไทย เรียกว่าเป็นหนึ่งเมือง unseen ในทริปนี้ที่เราจะพาไปเปิดเมืองไม่ดังให้คนไทยรู้จักมากขึ้นครับ

ขึ้นบันไดเดินตรงเข้าถนน Oberstraße ก็เริ่มเห็นบ้านเรือนสไตล์ half-timber ซึ่งมีเอกลักษณ์ที่หน้าจั่วและผนังสีสดใสหรือสีพาสเทลที่ใช้อิฐ ปูน และไม้ผสมกันเป็นวัสดุในการก่อสร้าง บ้านแบบนี้พบเห็นได้ทั่วไปแถบเยอรมันตะวันตกเฉียงใต้และฝรั่งเศสตะวันออก ในรีวิวต่อๆ ไปจะได้เห็นบ้านน่ารักๆ แบบนี้เพียบเลยครับ

บนยอดเขาด้านหลังคือ Burg Stahleck (Stahleck Castle) ปราสาทโบราณที่สร้างมาตั้งแต่ศตวรรษที่ 12 บนเนินเขาสูง 160 เมตรจากระดับน้ำทะเล

เดินตามถนนสายหลักผ่าน Rathaus หรือที่ทำการเมืองเข้าสู่ตัวเมืองประมาณ 250 เมตร ทางขวามือมี Tourist Information Center อยู่ ถ้าจะแวะเที่ยวแล้วไปเมืองอื่นต่อก็สามารถฝากกระเป๋าเดินทางไว้ที่นี่ได้ แต่ต้องมาในเวลาเปิดทำการนะครับ วันอาทิตย์เหมือนจะปิด และเย็นๆ แบบวันนี้ก็ปิดแล้ว

ตรงต่ออีก 200 เมตรก็ถึง St. Peter Kirche (Pfarrkirche St. Peter) โบสถ์หลักประจำเมือง

มองเข้าไปที่ถนนทางขวามือก็เห็นหอคอยประตูเมืองเก่าชื่อ Marktturm อยู่ไม่ไกล

ตรงนี้มีบันไดขึ้นเขาไปยังซากโบสถ์ Wernerkapelle ซึ่งเป็นแลนด์มาร์คของศิลปะ Rhine-Romanesque และปราสาท Burg Stahleck ด้วย (ระยะทางเดินประมาณ 450 เมตร)

บ้านสไตล์ half-timber แถวนี้สวยสมบูรณ์มากๆ ให้บรรยากาศยุโร้ปยุโรป

เลี้ยวซ้ายเข้า Blücherstraße เดินหาทางขึ้นเนินเขาด้านหลังซึ่งเป็นไร่องุ่นสำหรับผลิตไวน์

เราจะขึ้นไปยังหอคอย Postenturm เพื่อชมวิวทั่วทั้งเมืองครับ

เดินไปขึ้นบันไดทางขวามือใกล้ๆ ประตูเมือง Steeger Tor ลัดเลาะขึ้นเนินเขาไปยังหอคอย

ระหว่างทางเดินก็หยุดถ่ายรูปวิวสวยๆ ของเมืองและปราสาท Burg Stahleck บนเนินเขาอีกฝั่งหนึ่งด้วย

พอเดินถึงหอคอย Postenturm ก็เจอวิวทั่วทั้งเมืองแบบนี้

ซากโบสถ์สีอิฐทางขวามือคือ Wernerkapelle ที่พูดถึงเมื่อกี๊ครับ

พระอาทิตย์ตกเกือบสนิทแล้ว เดินลงเขาตามแนวไร่องุ่นอีกทางหนึ่งกลับไปที่กลางเมืองตรงถนน Oberstraße

ขาเดินขึ้นหอคอยถ้าเลือกทางนี้จะใกล้กว่าขึ้นแถวประตู Steeger Tor แต่หาทางขึ้นยากกว่าเพราะอยู่ในซอกแคบๆ ที่สังเกตยากครับ

เดินไปทางโบสถ์ St. Peter Kirche ก็กลับสู่จุดเดิมที่มีบ้าน half-timber สวยๆ แฮฟดินเนอร์แถวนี้

เดินตามเส้นทางเดิมกลับสถานีรถไฟให้ทันขบวน 20.50 น. นั่งรถไฟขบวน RB กลับ Koblenz อีก 37 นาที แล้วเดินกลับโรงแรม

คืนนี้นอนที่เมือง Koblenz 1 คืน พรุ่งนี้เช้าจะไป Burg Eltz และ Cochem กัน

*ห้ามคัดลอกหรือดัดแปลงข้อมูลและรูปภาพเพื่อนำไปเผยแพร่ก่อนได้รับอนุญาต